ตั้งแต่วันนี้ (๘ พ.ย. ๒๕๕๐) ถึงวันที่ ๑๔ พ.ย. ๒๕๕๐ เว้นวันที่ ๑๑ ข้าราชการครูจำนวน ๕๐๐ กว่า คน เข้ารับการพัฒนาก่อนแต่งตั้งให้มีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ,เชี่ยวชาญ ของ สพท.พิษณุโลก เขต ๑ ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มเชี่ยวชาญ ที่เข้ารับการอบรมด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด ว่ากันว่า มีข้าราชการครูส่ง วฐ.๑ มากเป็นพิเศษ ด้วยแว่วข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนเกณฑ์การประเมินใหม่ ซึ่งยุ่งยากและยากที่จะเข้าถึงธงที่ปักไว้. การเข้ารับการพัฒนาฯครั้งนี้เสมือนตั๋ว ๑ ใบ ที่สามารถใช้ได้ถึง ๕ ปี จึงเป็นเรื่องที่ดี หากในอนาคตท่านใดยอมถอย ๑ ก้าวก็สามารถที่จะก้าวต่อไปได้โดยไม่ต้องเข้ารับการพัฒนาฯ ผมเชื่อว่า ทุกท่านได้ขึ้นสังเวียน มีกองเชียร์รอบเวทีเต็มไปหมด..ต้องไปให้ถึงเส้นชัย คงไม่ปล่อยเวลา ๕ ปีให้หายไปกับสายลมและแสงแดด..นะครับ
ในขณะเข้ารับการพัฒนาฯ ผมนั่งติดกับคุณครูท่านหนึ่งจากโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก ซึ่งครูท่านนั้นเขารู้จักผมดี แต่ผมซิจำชื่อไม่ได้เพียงคุ้นหน้าเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรผมจะบอกตัวเองเสมอว่า การเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นบุคคลสาธารณะ ที่จะมีคนรู้จักผมมากกว่าที่ผมจะรู้จักเขา คุณครูพูดคุยอย่างมีหลักวิชา เล่าให้ฟังว่า อยู่โรงเรียน จภ.พิษณุโลก มา กว่า ๖ ปีแล้ว ต้องแสวงหาความรู้ใหม่ๆอย่างไม่หยุดนิ่ง ด้วยว่านักเรียนเก่ง มีความสามารถเรียนรู้ได้ดีและเร็ว นักเรียนกล้าแสดงออกทางวิชาการสูงมาก หากครูไม่มีภูมิรู้ที่ดีพอ อาจถูกต้อนให้จนมุมได้..ความศรัทธาที่มีต่อครูลดน้อยลง ก่อนหน้าที่จะย้ายมาสอนที่นี่ เคยสอนอยู่โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็กในอำเภอวังทอง มองว่าตัวเองมีความรู้มากกว่านักเรียน นักเรียนก็ยอมรับและศรัทธาครู แต่ที่นี่ ครูต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆกับนักเรียน และต้องขยันอีกเท่าตัว เพื่อเตรียมตอบคำถามที่ Feedback กลับมาอย่างรวดเร็วหากสิ่งที่ครูสอนและเขาสงสัย ผมฟังไปก็นึกชื่นชมกับสิ่งที่ครูท่านนั้นได้พูดถึงนักเรียน และโรงเรียนอย่างภาคภูมิใจ ทำไมนักเรียน จภ.พิษณุโลกเก่ง มีความรู้ความสามารถ เพราะโรงเรียนมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก เนื่องจากโรงเรียนเป็นโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ความเก่งเป็นอันดับหนึ่ง ฐานะครอบครัวมั่นคง มีอันจะกิน เป็นอันดับสอง เพียง ๒ รายการที่เป็นเงื่อนไขหลัก เมื่อนักเรียนมีความพร้อมสูง… คนเก่ง คนรวย มาอยู่รวมกัน Empowerment ของโรงเรียนจึงเกิดขึ้นทันที
ครูจึงต้องเก่ง ไม่จำเป็นต้องรวย (ก็ได้) ครูและนักเรียนต้องจับมือและเรียนรู้ไปพร้อมกัน ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ เพราะหากหยุดนิ่งเมื่อไหร่ตกเวทีทันที เมื่อชีวิตต้องมาเป็นครู สังคมคาดหวังว่าครูจะเป็นเทียนชนวนเนื้อดีที่ไม่มีวันมอดดับ..สร้างแสงแห่งปัญญาเรืองรองให้เกิดมีขึ้นกับคนทุกคนที่เข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้..และก้าวออกจากสังคมนี้ไปสู่สังคมใหม่ได้อย่างมาดมั่น...สวัสดีครับ.
ไม่มีความเห็น