สื่อการเรียนการสอนเกษตรกรโครงการการจัดกระบวนการเรียนรู้การเกษตรพอเพียง ปี 2550สำนักงานเกษตรอำเภอหนองพอก อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด เรื่องที่ 1การผลิตมะม่วงนอกฤดู เพื่อให้ได้ผลผลิตมะม่วงในช่วงระยะเวลาที่ตลาดต้องการ หรือช่วงที่มีราคาสูงเกษตรกรผู้ผลิตมะม่วงส่วนใหญ่เลือกใช้วิธีการราดสารแพคโคบิวทราโซน เพื่อบังคับให้มะม่วงออกดอกติดผลในช่วงระยะเวลาที่เกษตรกรต้องการ โดยมีวิธีการและขั้นตอนในการปฏิบัติดังนี้1.การตัดแต่งกิ่ง หลังจากให้ผลผลิตแล้วมะม่วงจะมีสภาพทรุดโทรม เนื่องจากการใช้ธาตุอาหารจำนมากในการสร้างผลผลิต เกษตรกรควรดูแล,บำรุงรักษาเพื่อเร่งให้มะม่วงมีสภาพสมบูรณ์ที่สุดพร้อมให้ผลผลิต โดยเริ่มจาก การตัดแต่งกิ่งการตัดแต่งกิ่ง เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เกษตรกรที่ทำได้ดีต้องเป็นผู้ที่มีความขยันในการศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้ มีความสังเกตจดจำพฤติกรรม,ลักษณะอาการของพืชชนิดนั้น ๆ ที่จะทำการตัดแต่งกิ่ง ว่าเรากระทำอะไรกับพืชแล้วมีผลเป็นเช่นไร โดยหลักทั่วไปในการตัดแต่งกิ่ง มีดังนี้ 1.1. ตัดกิ่งที่อ่อนแอไม่สมบูรณ์เนื่องจากโรคและมีบาดแผลจากการทำลายของศัตรู1.2. ตัดกิ่งที่อยู่ในทรงพุ่มไม่ได้รับแสงแดด1.3. ตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่งแสงแดดส่องได้ทั่วถึงและระบายอากาศได้ดี เพื่อลดอัตราการเกิดโรคระบาดพืชที่มีสาเหตุจากเชื้อรา1.4. ตัดแต่งกิ่งที่เกษตรกรไม่ต้องการในการตัดแต่งกิ่งเกษตรกรต้องใช้เครื่องมือให้ถูกต้อง เหมาะสม เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ทั้งนี้เพื่อลดอัตราการฉีกขาดบริเวณแผลที่ตัด ซึ่งจะทำให้เชื้อโรคเข้าทำลายบาดแผลได้ง่าย เป็นเหตุให้พืชชะงักการเจริญเติบโตเนื่องจากการเกิดโรคและพืชยังต้องใช้ธาตุอาหารจำนวนมากในการซ่อมแซมบริเวณแผลที่ตัด การเลือกใช้เครื่องมือและเทคนิควิธีในการตัดแต่งขึ้นอยู่กับฝีมือทักษะและความชำนาญของเกษตรกรเองกล่าวในที่นี้คือใช้เครื่องมือชนิดใดก็ได้ขอให้บริเวณแผลที่ตัดแต่งราบเรียบและไม่ฉีกขาดหลังตัดกิ่งเสร็จต้องทาทับแผลด้วยปูนกินหมากหรือใช้สีน้ำมันทาทับ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าทำลายบาดแผล และป้องกันการระเหยน้ำของพืช2. การใส่ปุ๋ย เมื่อตัดแต่งกิ่งแล้วเสร็จ ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันเกษตรกรต้องเร่งการเจริญเติบโตและเร่งการสะสมอาหารเพื่อให้มะม่วงมีความสมบูรณ์พร้อมที่จะให้ผลผลิตในรุ่นต่อไป จากนั้นเกษตรกรควรจัดเก็บและทำความสะอาดบริเวณพื้นสวนให้โล่งเตียน ด้วยการตัดหรือดายหญ้าให้โล่งเพื่อลดบริเวณอาศัยของแมลงศัตรู และสะดวกในการเข้าไปดูแลบำรุงรักษาและทำกิจกรรมอื่น ๆ ของเกษตรกรเองบริเวณรอบโคนต้นมะม่วง เกษตรกรควรสุมโคนด้วยแกลบดิบเพื่อเรียกรากฝอยและรากขนอ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการราดสาร และการให้ปุ๋ยทางดิน นอกจากนั้นยังเป็นการช่วยดูดซับความชื้นดินบริเวณรอบโคนต้นแถมยังช่วยลดปริมาณวัชพืชบริเวณโคนต้นอีกด้วยการให้ปุ๋ยในระยะนี้ประกอบด้วย ปุ๋ยทางดิน ปุ๋ยเคมี ควรเป็นปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15 - 15 - 15 , 16-16-16 เป็นต้นโดยการให้บริเวณราก ใน อัตรา 0.5 กิโลกรัม/ต้น สำหรับมะม่วงอายุ4 ปีขึ้นไปปุ๋ยคอก เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการใช้ปุ๋ยคอกทั้ง 3 ด้าน คือ เพิ่มธาตุอาหารพืช,ปรับปุรงโครงสร้างของดินและกระตุ้นการเกิดรากของพืชบริเวณโคนต้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการราดสารและการให้ปุ๋ยทางดิน เกษตรกรผู้มีประสบการณ์กล่าวว่าควรใช้ปุ๋ยคอกที่ได้จากฟาร์มไก่เนื้อ เพราะมีแกลบผสมอยู่ด้วยการคลุมหน้าดินด้วยแกลบดิบจะช่วยให้ดินบริเวณนั้นมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเนื่องจากกระบวนการย่อยสลายซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นให้รากพืชเพิ่มมากขึ้นในบริเวณดังกล่าวอีกด้วย ปุ๋ยทางใบ - ใช้ปุ๋ยเกล็ด สูตร 15-15-15 อัตราส่วน 1:200 ฉีดพ่นทุก ๆ 7 วัน- ฉีดพ่นน้ำหมักหรือฮอร์โมนตัวเมีย (หัวเชื้อแม่) ในอัตรา 1:200 ฉีดพ่นสลับกับปุ๋ยเกล็ด3. ราดสารแพคโคบิวทราโซน หลังจากการตัดแต่งกิ่งและบำรุงต้นมะม่วงด้วยการให้ปุ๋ยทางดิน,ทางใบแล้วประมาณ 1 เดือน มะม่วงจะเริ่มแตกใบและเจริญเติบโตตามลำดับและมีความพร้อมที่จะเริ่มออกดอกได้ ระยะนี้เกษตรกรต้องเริ่มพิจารณากำหนดวันราดสารได้ เพราะหลังจากราดสารประมาณ 2 เดือนมะม่วงจะเริ่มแทงช่อดอก จากนั้นอีก 2 เดือนก็เริ่มเก็บมะม่วงผลดิบขายได้ เกษตรกรจะประสพผลสำเร็จด้านการตลาดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ,วิเคราะห์ราคาของผลผลิตในช่วงเก็บเกี่ยวได้ถูกต้องหรือไม่ เมื่อมะม่วงมีความอุดมสมบูรณ์พร้อมเกษตรกรสามารถราดสารแพคโคบิวทราโซนได้โดยเฉพาะมะม่วงพันธุ์เขียวเสวยอายุ 5-6 ปีขึ้นไปใช้สารแพคโคบิวทราโซน ในอัตรา 6 ขีด ผสมน้ำสะอาด 2 ลิตร ราดให้ทั่วบริเวณที่กลบแกลบดิบหรือสุมโคนต้นไว้ จากนั้นเมื่อมีการดูแลรักษาอย่างถูกต้องมะม่วงจะเริ่มแทงช่อดอด เมื่อราดสารได้ 2 เดือนดังที่กล่าวมาแล้ว 4. การใช้ฮอร์โมนตัวผู้ หลังจากการราดสารได้ 7 วันเกษตรกรควรฉีดพ่นด้วยฮอร์โมนตัวผู้ (หัวเชื้อพ่อ) ในอัตรา 1:200 ฉีดพ่นทุก ๆ 7 วัน 3 ครั้งจะช่วยให้มะม่วงติดผลดกและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ข้อมูลแน่นดีครับผมชอบแต่ยังขาดการดูแลช่อดอกและผลอ่อน แลการป้องกันผิวมะม่วง
หากไม่รบกวนขอเพิ่มหน่อยนะครับ
สารพาโคบิวทราโซน ทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับ ทำให้ตับซึ่งเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างการทำงานได้ลดลง ทำให้เกิดตับอักเสบและเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด หันมาทำเกษตรปลอดสารเคมีเถอะครับ เพื่อคุณ คนที่คุณรัก และลูกหลานของเรา อ่านดูได้ที่
http://www.cdpr.ca.gov/docs/risk/rcd/paclobut.pdf
หากเป็นแล้วก็จะมีโรคตามมาอีกมากมายครับ อ่านได้ที่นี่
หากไม่ใช้สารพาโคบิวทาโซลจะใช้สารตัวในแทนได้แนะนำหน่อยได้คร้าบท่านผู้รู้ลึก