และนี้คือ คาถาประพันธ์ซึ่งมีเนื้อหาต่อมาจากครั้งก่อน (ดู เล่า...๓๖) โดยพระพุทธเจ้าตรัสเป็นประเด็นสุดท้ายในสิงคาลกสูตร ความว่า...
ขยายความตามความเห็นของผู้เขียนว่า... สังคหวัตถุธรรม อันได้แก่ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจระหว่างบุคล ซึ่งปรากฎให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกๆ... และเมื่อผู้ฉลาดกล่าวคือผู้ที่เป็นบัณฑิต นำมาประยุกต์ใช้กับสังคมหรือคนทั่วไปแล้ว เขาก็สามารถจะคงความเป็นใหญ่ไว้ได้ ทั้งปวงชนก็ย่อมสรรเสริญต่อเขา.... ประเด็นนี้ เมื่อพิจารณาจากคาถาประพันธ์นี้มาตั้งแต่ต้น ก็อาจสรุปได้ว่า ผู้ฉลาดย่อมใช้สังคหวัตถุธรรมเพื่อเป็นเครื่องพยุงความเป็นผู้มียศของตนไว้นั่นเอง...
กล่าวกันว่า หลักมนุษย์สัมพันธ์คือสุดยอดของหลักการบริหารองค์กร ดังนั้น ผู้บริหาร ตลอดจนผู้มียศ มีเกียรติ มีตำแหน่ง หรืออื่นๆ เมื่อดำเนินชีวิตตามนัยสังคหวัตถุธรรมซึ่งเป็นหลักมนุษย์สัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาแล้วก็อาจยังคงความเป็นใหญ่ของตนไว้ได้ และปวงชนก็ย่อมสรรเสริญเขาตลอดไป ซึ่งก็ได้แก่ สามารถที่จะดำรงความเป็นผู้มียศของตนไว้ได้นั่นเอง....
อีกนัยหนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงการปกครองแบบ พ่อปกครองลูก ในสมัยสุโขทัย... ผู้เขียนก็มีความเห็นว่า การปกครองแบบนี้ก็คือการใช้สังคหวัตถุธรรมเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งสอดคล้องกับคาถาประพันธ์ในตอนสุดท้ายของสิงคาลกสูตรนี้นั่นเอง....
และเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าผู้เขียนจะคาดเดาว่า ระบบการปกครองทำนองนี้ในสมัยสุโขทัย บางส่วนอาจมีแนวคิดพื้นฐานมาจากสิงคาลกสูตรนี้นั่นเอง....
...............
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสคาถาประพันธ์นี้จบแล้ว นายสิงคาลกะก็ชมเชยพระธรรมเทศนาว่าชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งนัก พร้อมทั้งข้อเปรียบเทียบพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าว่า...
อนึ่ง ข้อเปรียบเทียบของนายสิงคาลกะทำนองนี้ ซึ่งมักจะเจอทั่วไปก่อนที่จะจบพระสูตรทั้งหลาย ดังนั้น จึงคาดเดาว่า น่าจะเป็นสำนวนชมเชยทั่วไปในสมัยนั้น....
หลังจากนั้นนายสิงคาลกะ ก็ขอถึงพระรัตนตรัยและแสดงตนว่าเป็นอุบาสกตลอดชีวิต....
เฉพาะในอรรถกถา ท่านได้เพิ่มเติมว่า หลักธรรมคำสอนในสิงคาลกสูตรนี้ ชื่อว่า คิหิวินัย ซึ่งหมายถึง ระเบียบการดำเนินชีวิตของผู้ครองเรือน นั่นเอง
............
เล่าเรื่องสิงคาลกสูตร มีทั้งหมด ๓๗ ตอน เริ่มต้นเล่าเมื่อวันที่ ๒๗ ก.ย. ใช้เวลาเล่ามาเป็นเวลา ๑ เดือน ก็จบลงด้วยประการฉะนี้
เจริญพร