แบบของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผู้บริโภค (Universal Design): แนวความคิด


Universal Design

ผู้เขียนได้รับทุนจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น(Japan International Cooperation Agency: JICA) ไปศึกษางานภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศญี่ปุ่น ปี พ.ศ.๒๕๔๔ ๒๕๔๕ และ ๒๕๔๖  ในการนี้ ได้รับทราบแนวความคิดเรื่องแบบของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผู้บริโภค (Universal Design) จึงมีความประสงค์จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากการไปศึกษาดังกล่าวให้กับผู้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการทั่วไป  ผู้เขียนขอขอบคุณ Mr.Shoichiro Aida อดีตผู้บริหารระดับสูงของ The National Consumer Affairs Center of Japan แห่ง Product Testing Center, Sagamihara ที่แนะนำความรู้ให้แก่ผู้เขียนระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว

                       

แนวความคิดเรื่องแบบของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผู้บริโภค (Universal Design) ได้เริ่มต้นและพัฒนามาจากภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ ด้วยเห็นว่าการออกแบบจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในอนาคต  วัตถุประสงค์หลักของ Universal Design นี้คือเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์สินค้าเพื่อบุคคลทุกเพศทุกวัย และทุกสภาพร่างกาย กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือบุคคลทุพพลภาพ  และเนื่องจาก Universal Design ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการก่อตั้งสมาคมนานาชาติเพื่อการออกแบบที่เป็นสากลขึ้น (International Association for Universal Design: IAUD)  โดยมีนโยบายที่จะขับเคลื่อนให้นำแนวคิดเรื่องนี้ไปใช้ให้อย่างแพร่หลายและปฏิบัติได้จริง ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม สินค้าและบริการ ตลอดจนทำนุบำรุงและขยายเครือข่ายระหว่างประเทศ ซึ่งสมาชิกสมาคมประกอบด้วยผู้ประกอบการรายใหญ่มาก เช่น Sony,Toyata และ NISSAN เป็นต้น

                       

แนวความคิดเรื่อง Universal Design มีความมุ่งหมายให้เป็น Design  for all กล่าวคือเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อทุกคนนี้เกิดจากนาย Ronal L. Mace (1941-1998)[1] ที่เห็นว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์ใดจะต้องใช้ประโยชน์ได้กับทุกคนโดยไม่ต้องมีการประยุกต์หรือออกเป็นเป็นพิเศษ  

                       

Universal Design มีความแตกต่างจากแนวคิดการออกแบบที่เป็น Barrier Free ซึ่งเป็นการออกแบบพิเศษเพื่อมุ่งใช้สำหรับบุคคลทุพพลภาพโดยเฉพาะ เป็นการออกแบบเพื่อปรับแก้ไขหรือกำจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อผู้ทุพพลภาพ  แนวคิด Barrier Free นี้เสมือนทำให้เกิดความแปลกแยกระหว่างบุคคลปกติกับบุคคลทุพพลภาพ แต่แนวคิด Universal Design เป็นแนวคิดเพื่อความทัดเทียม มิได้แบ่งแยกเฉพาะบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่ง  เป็นการออกแบบเพื่อมุ่งใช้ได้กับบุคคลทุกเพศทุกวัย ทั้งที่เป็นบุคคลปกติและบุคคลทุพพลภาพ เป็นการกำจัดความแปลกแยกของบุคคล ทุกคนล้วนสามารถใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ซึ่งออกแบบมาอย่างเดียวกันด้วยกันได้

                       

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน การออกแบบตามแนวคิดเรื่อง Universal Design นี้ยังขาดมุมมองบางประการโดยผู้ออกแบบทำหน้าที่เพียงสร้างรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้งดงามหรือใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น มิได้เพิ่มมุมมองอันหลากหลายเข้าไป ได้แก่ มุมมองของผู้บริโภคซึ่งประกอบด้วยความมุ่งหวังจะได้รับความปลอดภัยและคุณประโยชน์สูงสุด และมุมมองอันเป็นจุดยืนทางเศรษฐกิจ

                       

Universal Design นี้เป็นสาระสำคัญประการหนึ่งของมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระหว่างประเทศ (ISO) ที่จะสามารถนำพาผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดโลกได้  ดังนั้น Universal Design จึงเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่งเนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบตามแนวคิดนี้จะสามารนำไปใช้ได้กับทุกคน มิได้เป็นการออกแบบพิเศษเฉพาะกลุ่มบุคคล  ส่วนแบ่งในตลาดของ Universal Design จะเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากกลุ่มเป้าหมายขยายวงกว้างขึ้น แต่ส่วนแบ่งในตลาดของ Barrier Free จะลดลงด้วยกลุ่มเป้าหมายซึ่งเฉพาะเจาะจงและมีจำนวนน้อยได้ลดลงเช่นกันโดยจะเหลือส่วนแบ่งในตลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อผู้ทุพพลภาพกรณีพิเศษ ซึ่งประเทศไทยอาจจะสามารถพัฒนาแนวคิดเรื่อง Universal Design ได้หากมียุทธศาสตร์ทางด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาสังคมและการบรรเทาความยากจน การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการร่วมมือกันในระดับภูมิภาค

                       

นอกจากการปรับมุมมองทางเศรษฐกิจที่จะทำให้ Universal Design พัฒนาไปสู่ตลาดโลกได้แล้ว การปรับมุมมองไปในทิศทางของผู้บริโภคก็ส่งผลดีด้วยเช่นกัน  การมีการทดสอบผลิตภัณฑ์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Universal Design ได้รับการยอมรับเพราะจะเป็นการสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคอันเป็นนโยบายสำคัญของรัฐดังที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา John F.Kennedy[2] ได้แถลงไว้ว่า สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยเป็นสิทธิที่สำคัญประการแรกของสิทธิผู้บริโภคทั้งหลายทั้งปวง

                       

John F.Kennedy  เชื่อว่าแนวความคิด (idea) และการปฏิบัติให้เป็นจริง (realization) เปรียบเสมือนล้อสองล้อของจักรยาน หากขาดล้อใดล้อหนึ่ง จักรยานก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้  กรณีนี้ก็เช่นกัน หาก Universal Design ขาดซึ่งแนวคิดหรือขาดการปฏิบัติให้เป็นจริงอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้

                       

ดังนั้น เพื่อพัฒนาสิทธิทั้ง ๔ ประการของผู้บริโภคตามหลักการของ John F.Kennedy  ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการมาให้ความสำคัญโดยมุ่งเน้นไปยังผู้บริโภค (consumer-oriented)  และต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจด้วย ซึ่งผู้ประกอบการได้ให้ข้อคิดเห็นว่าผู้ประกอบการผลิตสินค้าโดยยึดผู้บริโภคเป็นหลักเสมอ หากไม่เช่นนั้นแล้วผู้ประกอบการก็จะไม่สามารถอยู่ในระบบตลาดต่อไปได้ โดยผู้ประกอบการจะมีการทดสอบผลิตภัณฑ์และควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด มีการทดสอบคุณสมบัติของสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพโดยผู้ตรวจสอบ ให้ความสำคัญในมาตรฐานความปลอดภัย  อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการผลิตจะมีประสิทธิอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาได้  ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการรวมตัวกันของประชาชนก่อตั้งสมาคมเพื่อทำหน้าที่ในการทดสอบสินค้าที่บกพร่องหรือเกิดปัญหา และนำผลการทดสอบไปใช้ในการดำเนินการกับผู้ประกอบการและให้ผู้ประกอบการนำผลการทดสอบไปแก้ไขปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่อไป

ในการนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่ารูปแบบในการพัฒนา Universal Design น่าจะต้องก่อตั้งองค์กรเพื่อการรองรับผลิตภัณฑ์ขึ้นเพื่อพิจารณาให้การรับรองสินค้าก่อนออกสู่ตลาด  ทั้งนี้ เพื่อเป็นสัญญลักษณ์แสดงมาตรฐานให้ผู้บริโภครับทราบเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกบริโภค  อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคจะเป็นผู้รายงานข้อมูลกรณีพบปัญหาจากสินค้า  รูปแบบนี้จะทำให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพแก่ผู้บริโภคและผู้บริโภคก็จะสามารถเลือกบริโภคสินค้าได้อย่างหลากหลายและมีคุณภาพ 

ความหมายของ Universal Design

Universal Design คือ แบบที่เหมาะสมกับความเป็นอยู่ของสำหรับผู้บริโภคทุกคน ไม่ว่าจะมีอายุหรือความสามารถเพียงใด  ผู้ที่เสนอแนวความคิดดังกล่าวนี้คือนาย Ronald L.Mace สหรัฐอเมริกา

                       

สำหรับหลักเกณฑ์ของ Universal Design มี ๗ ประการ คือ

๑. ใช้กันได้ทุกคนเท่าเทียมเสมอกัน 

๒. สามารถใช้ได้แบบยืดหยุ่น

๓. สามารถใช้ได้โดยง่ายและใช้ได้โดยตามความรู้สึก

๔. สามารถรับรู้ได้โดยง่าย

๕. ทนต่อการใช้โดยผิดพลาดได้

๖. ใช้กำลังทางกายภาพน้อย

๗. ขนาดและความเหมาะสมของพื้นที่ในการที่จะเข้าไปใช้

 ความเป็นมาของ Universal DesignUniversal Design  เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเนื่องจากจำนวนของผู้พิการมีมากขึ้น และสิ่งของเครื่องใช้ที่มีอยู่ก็เป็นอุปสรรคสำหรับคนเหล่านั้น  ดังนั้น เมื่อปี ค.ศ.๑๙๙๐ สมาคมมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายคนพิการ (The American Disabilities Act) ขึ้นเพื่อกำจัดอุปสรรคต่อผู้พิการโดยรับรองสิทธิของผู้พิการให้ทัดเทียมกับคนทั่วไป แต่กฎหมายนี้ยังใช้ไม่ได้กับสินค้าหรือบริการทุกอย่าง  ดังนั้น นาย Ronald L.Mace จึงได้เสนอแนวความคิด Universal Design ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามารถใช้สินค้าและบริการได้เท่าเทียมกันหมด

Universal Design ในประเทศญี่ปุ่น

เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมในประเทศได้มีการพัฒนายกระดับคุณภาพความเป็นอยู่ให้สูงขึ้นตลอดมา เป็นเหตุให้ผู้บริโภคมีปัญหาและความต้องการในสินค้าก็มีมากขึ้น ประกอบกับจำนวนผู้สูงอายุและคนพิการในประเทศก็เพิ่มขึ้นด้วย ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันบางอย่างก็เป็นอุปสรรคในการใช้  ดังนั้น จึงต้องมีการพัฒนาสิ่งของต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้สูงอายุและคนพิการเพื่อให้ทัดเทียมกับผู้อื่น และทุกคนสามารถใช้สินค้านั้น ๆ ได้เหมือนกันทุกคน  ประเทศญี่ปุ่นได้นำแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาใช้ในปี ค.ศ.๑๙๙๐ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน

ข้อควรคำนึงพื้นฐานในการออกแบบและผลิตสินค้าแบบ Universal Design

๑. การแบ่งแยกความแตกต่างด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕

๑.๑ ดูง่าย                                               

๑.๒ ฟังง่าย

๑.๓ เข้าใจความแตกต่างได้ง่าย                     

๑.๔ รับรู้ด้วยประสาทความรู้สึกทุกอย่า

๒. ความเข้าใจและการพิจารณา

๒.๑ วิธีใช้และขั้นตอนการใช้เข้าใจง่าย

๒.๒ คำศัพท์ เครื่องหมาย เสียงที่ได้ยิน ความรู้สึก เข้าใจง่าย

๒.๓ ข้อมูล เครื่องหมายที่แสดงขั้นตอน เข้าใจง่าย

๒.๔ รู้ได้ทันทีเมื่อใช้ผิดวิธี๒.๕ ขั้นตอนการใช้ศึกษาได้ง่าย

๓. วิธีการใช้ไม่เป็นอุปสรรคกับสรีระทางร่างกาย

๓.๑ การติดตั้งของสินค้าและเครื่อง

๓.๒ ท่าทางเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์

๓.๓ ความเหมาะสมของร่างกายกับผลิตภัณฑ์

๓.๔ การออกแรงมากน้อยเพียงใด

๓.๕ เสียง แสง อุณหภูมิ มีผลกระทบต่อร่างกายหรือไม่

๓.๖ ข้อมูล การใช้ มีระยะเวลานานเท่าใด

๓.๗ ผลสะท้อนกลับ

๓.๘ ความมั่นคงแข็งแรงในการติดตั้งผลิตภัณฑ์

๔. ความปลอดภัย

๔.๑ ความปลอดภัยของสินค้า            

๔.๒ ความปลอดภัยทางด้านเคมีภัณฑ์

๕. หาซื้อได้ง่าย

๕.๑ ราคาไม่แพง               

๕.๒ หาซื้อได้ทั่วไป                       

๕.๓ เก็บรักษาง่าย

๖. ความสะดวก

๖.๑ มีความสะดวกในการใช้

นโยบายเพื่อการส่งเสริม Universal Design ในประเทศญี่ปุ่นภาครัฐกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม

๑. จัดแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับ Universal Design มีการรายงานขั้นพื้นฐานของการออกแบบสินค้าและการตรวจสินค้าที่มี Universal Design   มีการพิจารณาและจัดแนวทางให้ชัดเจนขึ้นในเรื่องของปัญหาและอุปสรรคในการออกแบบผลิตภัณฑ์ และต้องพัฒนาสินค้า Universal Design

๒. การพัฒนาการวิจัยพัฒนาการวิจัย วิเคราะห์ วัดความรู้สึกและการเคลื่อนไหวของมนุษย์โดยมีการตรวจร่างกายมนุษย์ในแต่ละวัยว่ามีร่างกายเป็นอย่างไรแล้วเก็บข้อมูลในเชิงสถิติเพื่อนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Universal Design

องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น

จังหวัดชิสึโอกะได้นำความคิดแบบ Universal Design ไปใช้กับโครงการต่าง ๆ  ของจังหวัด โดยทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นที่แพร่หลาย เช่น การสำรวจป้ายจราจรว่ามีเครื่องหมายใดที่เห็นชัดเจนและไม่ชัดเจน และทำการแก้ไขตามความเห็นของชาวจังหวัด เป็นต้นจังหวัดคุมาโมโต้ได้จัดทำโครงการคุมาโมโต้ ฮาร์ท มูฟเม๊นต์ เป็นการรณรงค์เพื่อให้คนในจังหวัดมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ภาคเอกชน

มีการประชุมความร่วมมือทางด้าน Universal Design ระหว่างประเทศ เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับผู้ผลิต ให้ผลิตสินค้าที่ทุกคนสามารถใช้ได้เท่าเทียมกัน  นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายว่าด้วยการปลอดจากอุปสรรค (Barrier-Free) ทางด้านการจราจร โดยกระทรวงที่ดินฯ โดยเป็นการส่งเสริมและพัฒนาความปลอดภัยและความสะดวกให้กับผู้สูงอายุและคนพิการ ได้แก่ ส่งเสริมการปลอดจากอุปสรรคในสถานีรถไฟและบนรถไฟ โดยจัดให้รถไฟทุกสายมีอุปกรณ์สำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ  ซ่อมแซมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เอื้ออำนวยแก่คนดังกล่าวด้วย และที่สำคัญคือทุกสถานีรถไฟในมหานครโตเกียวต้องมีลิฟต์และบันไดเลื่อน หากไม่มีถือว่าผิดกฎหมายมีกฎหมายเกี่ยวกับการสร้างอาคาร  ในการสร้างอาคารแต่ละครั้งต้องคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้สูงอายุและคนพิการ แต่ต้องเหมาะสมกับมาตรฐานที่ตั้งไว้ด้วย

นอกจากนี้ ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศก็ต้องส่งเสริมให้มีการใช้งานได้สะดวกสำหรับผู้สุงอายุและคนพิการด้วย

สำหรับแนวโน้มปัจจุบัน ผู้ให้ความสำคัญกับ Universal Design ได้แก่ บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ที่เป็นสมาชิกของสมาคม  ส่วนคนทั่วไปมักจะเห็นว่า Universal Design เป็นของผู้สูงอายุและคนพิการเป็นส่วนมาก ไม่ใช่ของคนทั่วไป  ดังนั้น Universal Design จึงไม่ค่อยเข้ากับความคิดของคนในประเทศญี่ปุ่น

ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เขียน

๑. ผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะมีแนวความคิด Barrier-Free หรือ Universal Design ก็ตาม แต่เป้าหมายสุดท้ายคือความสะดวกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้ถูกออกแบบมาสู่ตลาด  อย่างไรก็ตาม การที่จะบังคับหรือวางมาตรการให้ผู้ผลิตออกแบบสินค้าให้มีลักษณะแบบเดียวใช้ร่วมกันได้กับบุคคลทุกประเภทหรือทำอย่างไรที่จะให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีลักษณะที่มุ่งเน้นผู้บริโภค (consumer-oriented) นั้นเป็นจิตสำนึกของผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตต่อสังคม (social responsibility) 

๒. ผู้ผลิตที่เป็นผู้ประกอบการรายเล็กอาจไม่มีแนวความคิดดังกล่าว หรืออาจต้องผลักภาระค่าการออกแบบให้แก่ผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์นั้นอาจมีราคาที่สูงโดยที่ผู้บริโภคเป็นผู้รับภาระ

๓. แนวความคิด Barrier-Free หรือ Universal Design กับแนวคิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ประกอบกับแนวคิด consumer-oriented ในเชิงบูรณาการยังคงเป็นอุดมคติ และต้องใช้เวลาในวิวัฒนาการและการตกผลึกทางความคิดของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น่าจะถือเป็นบทบาทที่สำคัญของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคในเชิงนโยบายและในฐานะที่เป็นหน่วยงานเลขานุการของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคโดยจะต้องเป็นผู้นำร่องและดำเนินงานคู่ขนานไปกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

๔. ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งได้มีความตกลงร่วมมือกันยังไม่เห็นกิจกรรมที่ชัดเจนเช่นกัน

๕. หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จะต้องติดตามกระแสแนวความคิด Universal Design และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของโลกซึ่งมีความเป็นพลวัตร   ขณะเดียวกัน มาตรฐานผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะต้องมีการตรวจสอบและติดตามประเมินผลหลังจากผลิตภัณฑ์ได้วางจำหน่ายในท้องตลาดอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในตลาดระดับล่างหรือร้านค้าปลีกย่อยเล็ก ๆ ในชุมชนที่ห่างจากตัวเมืองออกไป นอกจากห้างสรรพสินค้า    ใหญ่ ๆ  ทั้งนี้ ควรเน้นการตรวจสอบในเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ เช่นปัจจุบัน  


[1] The design of products and environments to be usable by all people, to the greatest extent possible, without  the need for adaptation or specialized design.

[2] Kennedy’s Consumer Rights (1)    Right to Safety(2)    Right to Be Informed(3)    Right to Choose            (4)  Right to Be Heard

หมายเลขบันทึก: 140461เขียนเมื่อ 21 ตุลาคม 2007 10:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน 2014 09:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

อยากทราบว่าในเมืองไทย มีกฎหมาย,ข้อบังคับ หรือมาตราฐานที่เกี่ยวข้องกับหลักการ universal design บ้างมั้ยครับ

และจะมีแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงได้ที่ไหนบ้างครับที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับ universal design ได้บ้าง เพราะเท่าที่ทราบ รายละเอียดของมาตราฐานอุตสาหกรรมอย่าง iso หรือ jis จะต้องซิ้อเอาอย่างเดียว

ผมกำลังทำวิทยานิพนธ์ในสาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์ครับ ต้องการข้อมูลเพื่อมาเป็นพื้นฐานในการออกแบบครับ

ให้ลองปรึกษาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมครับ

ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณมากที่เข้ามาเยี่ยมชมและติดต่อกลับมาครับ

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันข้อมมูลครับ Universal Design

น่าสนใจมากมันช่างแสดงถึงในโลกที่พัฒนาแล้ว จัง

ขอบคุณมากที่เข้ามาเยี่ยมชมและโพสต์ข้อความไว้ครับ

บทความยาวมาก ได้ความรู้เยอะเลย

ได้ ไอเดีย ในการทำวิจัย  เพิ่มขึ้นมากเลยคะ

ขอบคุณ ข้อมูลดีๆนะคะ

หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท