จากครั้งก่อน (เล่า... ๑๙) ผู้เขียนได้ทิ้งคำถามไว้ว่า ทรัพย์สมบัติเพื่อประโยชน์อะไร ? และ จะใช้จ่ายทรัพย์สมบัติอย่างไร ? ซึ่งคำตอบมีอยู่ในส่วนสุดท้ายของคาถาประพันธ์ดังนี้ คือ
เมื่อพิจารณาในคาถาประพันธ์นี้ เนื้อความอื่นๆ สอดรับกันดี กล่าวคือ ครั้นสะสมทรัยพ์ได้แล้วก็ให้แบ่งเป็น ๔ ส่วน โดย
ซึ่งประเด็นนี้ สามารถตอบคำถามในการใช้จ่ายทรัพย์สมบัติเบื้องต้นได้ ซึ่งผู้เขียนจะขยายความต่อไป... แต่จะพักประเด็นนี้ไว้ก่อน โดยจะกลับไปพิจารณาคาถาประพันธ์อีกครั้ง...
......
จะเห็นได้ว่าในคาถาประพันธ์จะมีข้อความว่า เขาย่อมสมานมิตรไว้ได้ แทรกเข้ามา ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เข้าใจประเด็นนี้นัก จึงลองไปค้นหาในคัมภีร์อรรถกถา ซึ่งท่านขยายความไว้ว่า...
ซึ่งคำอธิบายสั้นๆ เพียงแค่นี้ ผู้เขียนว่าชัดเจนแล้ว เมื่อมาพิจารณาสำนวนไทยๆ ว่า...
นั่นคือ คนมีโภคทรัพย์เท่านั้นย่อมผูกมิตรไว้ได้... ส่วนคนไร้โภคทรัพย์ แม้จะมีคุณสมบัติอื่นๆ ผูกมิตรไว้ได้ แต่ความสามารถจะหมดไปหรือด้อยลงทันที เมื่อไร้โภคทรัพย์... หรือคนมีโภคทรัพย์จะมีความสามารถในการผูกมิตร ชนิดที่คนไร้ทรัพย์ไม่สามารถกระทำได้... ประมาณนี้
ประเด็นนี้ บางคนอาจรู้สึกขัดแย้ง หรือไม่ค่อยจะ่เห็นด้วย... แต่นี้คือปรากฎการณ์ทางสังคมที่ค่อนข้างจะเป็นจริง มากกว่าสิ่งที่เราต้องการจะให้เป็น... ซึ่งปรากฎการณ์ทางสังคมทำนองนี้ อาจพิจารณาได้จากคำกลอนที่มีผู้แต่งล้อว่า....
ดังนั้น จากข้อความว่า เขาย่อมสมานมิตรไว้ได้ จึงมีนัยปรากฎการณ์ทางสังคมที่เป็นจริงทำนองนี้แฝงเร้นอยู่...
........
อนึ่ง สิงคาลกสูตรตอนนี้ จะเน้นที่ การคบมิตร และการขยันทำงานเพื่อสะสมโภคทรัพย์ (หรือเพื่อความมีฐานะทางเศรษฐกิจตามสำนวนปัจจุบัน)... และเมื่อมาเชื่อมกันว่า ผู้มีโภคะนั้นสามารถผูกประสานมิตรไว้ได้อีกครั้ง.... ผู้เขียนว่า ประเด็นนี้ มีนัยลึกซึ้งแฝงอยู่อีกชั้นหนึ่ง เมื่อมาพิจารณาจากบาลีภาษิตที่ผู้เขียนจดจำไว้ดังนี้
นั่นคือ โภคทรัพย์เพื่อความสุข นั่นเอง... ประเด็นนี้ อาจเพ่งเฉพาะความเป็นคนธรรมดา และปรากฎการณ์ทางสังคมทั่วๆ ไป เท่านั้น มิได้มุ่งหมายประเด็นอื่นๆ ที่กว้างออกไป...และจากสิงคาลกสูตรตอนนี้ อาจสรุปได้ง่ายๆ สั้นๆ ว่า...
แค่นี้เอง...
ส่วนประเด็นอื่นๆ ผู้เขียนจะนำมาเล่าในตอนต่อไป...
ไม่มีความเห็น