18-9-50
วันนี้ดิฉันมีโอกาสเข้ามาคุยกับอาจารย์ทรงพลที่จะมาสอนเราเรื่องการสร้างFAในสถาบัน หมอหน่อยได้มาปรึกษาและ ไปคุยกับอาจารย์ทรงพล
วันนี้อาจารย์นัดมาคุยกับกรรมการKMและ กรรมการพัฒนาคุณภาพ และทีมที่เกี่ยวข้อง
อาจารย์คงมาวินิจฉัยองค์กรและไม่สอนๆไปตามความรู้ที่มี
อาจารย์เปรียบท่านเหมือนหมอค่ะ
ดิฉันเล่าให้ท่านฟังเรื่องทั่วๆไปในสถาบัน หลังจากนั้นหมอรุจ และมอมก็เล่าเพิ่มเติมว่า พรพแนะว่าเรามีผู้บริหารที่ตั้งใจและผู้ปฏิบัติให้ใจแต่ขาดแต่ตรงกลางที่จะประสานและเชื่อมต่อค่ะ
หมอต่อ ยกตัวอย่างหมอชยนันท์ที่อยากให้หมอสั่งยาไม่เกินสองสัปดาห์ แต่ทำไม่ได้ทำให้ ท้อใจ
หมอนภาอยากให้พัฒนาห้องบัตร คุณสุนันทาพูดเรื่อง ผู้บริหารอาจจะไม่ค่อยเปิดโอกาสให้น้องๆได้คิดมากนัก
คุณศิริรัตน์แจ้งว่าอบรม FA แล้วลืมแล้วเพราะไม่ได้ทำงานและใช้งาน คุณอารมณ์ คิดว่าได้ความรู้ไปใช้
ตบท้ายด้วยหมอปรีชาบอกว่าจะทำงาน รักงาน คุณหมอบอกว่าไม่ไล่ไม่ลาออกค่ะ จะทำไปเรื่อยๆ และจะทำCQI
สรุป
คนที่มาอบรมFAควรมาจาก PCTทั้งหมด IT IC ( สองไอหนึ่งทีหนึ่งซี) เภสัช หมอนภาขอให้ห้องบัตรมีโควต้าเพิ่มพิเศษ
หมอหน่อยเจ้าของงานให้ ปิ่งเป็นคนรับเรื่อง ในการ อบรมและเป็นคนประสานและดำเนินการ
หมอรุจดีใจที่อาจารย์ให้แนวคิดที่ดีที่ให้เราต้องได้ใจเจ้าหน้าที่ก่อน
พวกเราถามถึงคนที่จะถูกเลือกควรมีลักษณะอย่างไร
อาจารย์อยากให้เป็นคนประสานง่าย รู้จักฟัง พูดทางบวก ฟังเป็น
พวกเราอยากให้หัวหน้างานอบรมแล้วจะได้นำไปใช้ได้
อาจารย์กลัวหัวหน้าที่เป็นตัวป่วนค่ะ
พวกเรารีบแจ้งว่าประเภทนั้นออกไปเกือบหมดแล้วค่ะ
จะนำเสนอชื่อสัปดาห์หน้าและเรามาดูกันอีกครั้งเนื่องจากกลัวเลือกคนผิด ที่เป็นตัวป่วนใหอาจารย์
สิ่งที่ประทับใจ
เราควรทำKMกับคนรอบข้าง ถ้าเราทนฟังคนในครอบครัวได้ เราควรพัฒนาตัวเองดีขึ้น
ไม่ใช่ไปสอนคนอื่นแต่ตัวเองไม่รู้เรื่อง เข้าใจแต่คุยกับลูกน้องไม่รู้เรื่อง
( สงสัยว่าอาจารย์จะว่าดิฉันหรือเปล่า ฟังแล้วชักร้อนๆตัว )
ดิฉันเล่าให้อาจารย์ฟังว่าดิฉันทำKMโดยใช้ตัววัดว่าทนฟังสามีได้ดีขึ้น
ทนลูกน้องที่ไม่ถูกใจได้มากขึ้น (กำลังสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าจะทนได้นานไหม )
การหลุดของอารมณ์เราน้อยลง
สรุปKMของอาจารย์
ต้องไม่เป็นภาระ ใช้ง่าย เกิดผล
สุขกับงาน
Share Visionก่อน
ไม่ให้ความสำคัญกับความรู้มากกว่าคน
สร้างใจ กระบวนทัศน์ ความรู้ ทักษะ
อารมณ์ ใจ ความรู้สึกเป็นฐานที่สำคัญ
ออกแบบการเรียนรู้
หัดฟังคนที่บ้านอย่างลึกซึ้งก่อนไปสอนคนอื่น(ตัวเราต้องเข้าใจและปฏิบัติได้ก่อน ทำกับคนที่บ้านก่อน
ทักษะต้องทำบ่อยๆ )
การเปิดใจคือต้องเป็นเพื่อนกัน ( ไม่ปิดบัง )
ความเป็นเพื่อนต้องมีมิติทางสังคมด้วย
อย่าเอาแต่งานๆๆ ติดตามงาน คนจะเบื่อ ลองคุยเรื่องมิติทางสังคมที่ใกล้ตัวเช่น คุยเรื่องหนังเกาหลี (นันเสนอ) การมัดใจสามี(ผอ. เสนอ ) การกินอาหาร ฟังเพลง ร่วมกัน
อาจารย์บอกว่า เมื่อคนมีทักษะแล้วจะสามารถปรับใช้ได้ทุกเรื่องค่ะ
เวลาเราคุยกันอาจคุยในเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องได้ค่ะเช่น(การดูแลลูก การเก็บและการออม การสอนการบ้านลูก )
หลังจากเราด้เทคนิกเราค่อยทำเรื่องเกี่ยวกับงานได้ค่ะ
ไม่มีความเห็น