โค้ชส้ม Citrus
Miss. ปรีดิ์ฤทัย โค้ชส้ม ตั้งจิตญาณพัฒน์

สุนทรียสนทนา ที่เพิ่งเริ่มต้นในกลุ่มคน Fast mode


แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับกิจกรรมสุนทรียสนทนา หนึ่งในหลายกิจกรรมสำหรับการสัมมนา Inno Facilitator และ Mentor ในกลุ่มธุรกิจของเรา

     ขณะทื่กำลังพิมพ์บันทึกนี้ กำลังนั่งอยู่ใน ห้องสัมมนา ที่ Learning Resort สถาบันนวัตกรรมอุดมศึกษา ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พัทยา ในช่วงของเกม Cash Flow รอบสอง

     เป็นครั้งแรกหลังจากที่พวกเราเหล่าคุณอำนวย ที่เป็น Super FA นำเอาวิชาที่ร่ำเรียนมาหลาย เรื่อง มาถ่ายทอดต่อให้กับ คุณอำนวยท่านอื่นๆ ที่มาจากหลากหลายบริษัท  พวกเราใช้เวลาเตรียมการสำหรับงานนี้ และตั้งใจที่จะทำให้ดีที่สุด จึงทำให้งานนี้เกิดขึ้นมาได้

     สิ่งที่ได้รับจากการทำงานนี้ คิดว่าทำให้เรารู้จักคนมากขึ้น บริหารงานที่ต้องให้คนอื่นมาช่วยทำงานโดยที่เขาเหล่านั้นไม่ใช่ลูกน้องของเราเลย คิดว่าอานิสงฆ์ที่ได้คงมาจากการที่ทีมงานมีโอกาสไปเข้าค่ายใหญ่ ผ่านการอบรมมาหลายรูปแบบ หล่อหลอมให้มีความคิดออกมาเจ้าเบ้าหลอมเดียวกัน ประกอบกับทิศทางของธุรกิจ และผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนระดับหนึ่ง จึงสามารถผลักดันงานนี้ออกมาได้

    ช่วงเช้ากิจกรรมที่เป็นเรื่องเด่น ก็คงจะเป็น สุนทรียสนทนาแบบ ให้รู้จักว่าการนั่งคุยกันในบรรยากาศสบายๆ แต่เป็นการคุยเรื่องส่วนตัวที่ปกติไม่มีโอกาสคุยในที่ทำงาน หรือไม่เคยเปิดเผยให้คนที่ไม่สนิทฟัง  แต่วันนี้ มีการให้จับคู่กันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ขณะคุยต้องจับมือกันด้วย  ซึ่งบางคู่ก็เคยรู้จักกันมาบ้าง บางคู่ก็เพิ่งมาพบกันวันนี้ แต่ได้รับโจทย์ให้ต้องมาผลัดกันเล่าชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก จากนั้นจึงมารวมกลุ่มใหญ่ โดยสุ่มคนให้เล่าเรื่องที่ได้ฟังมา 

     จากการนั่งสังเกตการณ์ ก็พบว่า

  • ช่วงแรกบางคู่มีความขัดเขิน พูดตะกุก ตะกัก มีเอ้อ อ้า ให้เห็นหลายคู่ แต่เมื่อผ่านไปประมาณสิบนาที เสียงเซ็งแซ่ก็ดังทั่วห้อง 
  • เมื่อบางคนจ้องจะเก็บประเด็น หรือจำเรื่องราว ก็เลยเครียด หรือบางคนก็จำไม่ค่อยได้ และกลัวว่าจะมาเล่าต่อไม่ได้
  • ในขณะฟัง บางคนอาจเสียสมาธิ คิดไปเรื่องอื่น ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ทำให้จำได้ไม่หมด
  • บางคนก็ลืม สังเกตดูตัวเองขณะฟัง ว่าคิดหรือรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ตัวว่าเป็นการฟัง แบบได้ยินหรือตั้งใจฟัง (ฟังด้วยหูหรือด้วยใจ)
  • บางคนบอกว่าพอฟังชีวิตวัยเด็กของใครคนหนึ่ง ทำให้เข้าใจถึงที่มาของพฤติกรรมที่พบในปัจจุบันของคนคนนั้นมากขึ้น

      บังเอิญมีพี่ กจก.บริษัทหนึ่งในกลุ่มธุรกิจ มานั่งสังเกตอยู่หลังห้อง พี่เขาบอกว่า การที่เปิดโอกาสให้พูดคุยเรื่องส่วนตัวลึกๆ และเจ้าของเรื่องกล้าเล่าเรื่องส่วนตัว แสดงว่ามีความไว้วางใจในกลุ่มเพื่อนนี้ระดับหนึ่ง ทำให้กล้าเล่าเรื่องที่เพื่อนไม่เคยรู้มาก่อน เช่น บางคนเคยติดยาเสพติด บางคนเคยสอบตก ทำตัวเละเทะ บางคนครอบครัวยากจน พ่อแม่ การศึกษาน้อย บางคนมาจากครอบครัวแตกแยก แต่หลายคนก็กล้าเล่าให้ฟังเพื่อเป็นข้อคิดการใช้ชีวิตให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในห้องสัมมนา  ถ้าหากในที่ทำงาน เจ้านายกับลูกน้องมีโอกาสพูดคุยเรื่องส่วนตัวแบบนี้บ้างก็น่าจะดี เพราะคงทำให้รู้จักกันดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้นและ เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

หมายเลขบันทึก: 129418เขียนเมื่อ 18 กันยายน 2007 19:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
สวัสดีค่ะ...ตามอ่านอยู่ตั้งนานวันนี้ขอแสดงตนนะคะ เขียนได้น่าติดตามน่าอ่านมากค่ะ...ได้ความคิดไปทำอะไรเยอะเลย...ขอบคุณค่ะ
P
สวัสดีค่ะ คุณเมตตา
ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่ได้พบและรู้จักกัน และหากสิ่งที่ดิฉันนำมาเล่าเป็นประโยชน์ ยิ่งรู้สึกดีใจมากๆ ค่ะ ขอบคุณที่ช่วยให้มีกำลังใจที่จะเขียนบันทึกต่อไปค่ะ

ในวันที่สอง มีคนตั้งชื่อกิจกรรม สุนทรียสนทนา ที่ทำไปแล้ว ว่า " จับมือ สื่อสายตา (เ)ล่าความหลัง" ชอบชื่อนี้จริงๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท