หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
รัฐอัดหมื่นล.หนุน...
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
รัฐอัดหมื่นล.หนุนเอกชนลงทุนนอก
รัฐอัดหมื่นล.หนุนเอกชนลงทุนนอก
"
โฆสิต" สั่งตั้งคณะทำงานวางแนวทางส่งเสริมเอกชนลงทุนต่างประเทศ หวั่นกระทบการจ้างงานภายใน
พอใจสถานการณ์ "ค่าเงินบาท" ย้ำไม่มีมาตรการเพิ่ม
"
พาณิชย์" ชงตั้งกองทุนสนับสนุนลงทุนต่างประเทศ
1
หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งเวนเจอร์ แคปปิตอล ลุยลงทุนนอก
5
พันล้านบาท กกร.เล็งถกสุรยุทธ์ขอซอฟท์โลน
2
พันล้าน ช่วยธุรกิจท่องเที่ยวใต้
นาย
โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลัง
การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม ว่า กระทรวงพาณิชย์ยังได้เสนอแผนการสนับสนุนการ
ปรับตัว
ทางธุรกิจและการลงทุนในต่างประเทศของภาคเอกชนไทยให้ที่ประชุมพิจารณา แต่ที่ประชุมเห็นว่าแผนดังกล่าวยัง
ขาดความชัดเจน เช่น ความชัดเจนเกี่ยวกับลักษณะการดำเนินการ มาตรการจูงใจแบบเฉพาะเจาะจง ที่สำคัญ การลงทุนของภาคเอกชนจะต้องไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศ
ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้
คณะทำงานไปกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นมาตรการผ่อนปรนที่จะทำให้ตลาดทำงานได้ดีขึ้น โดย
จะมีหน่วยงานอื่นร่วมเป็นคณะทำงาน เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นฝ่ายประสานงาน
นายโฆสิต กล่าวว่า กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลการดำเนิน
มาตรการ
ดูแลค่าเงินบาทให้ที่ประชุมรับทราบ ซึ่งการดูแลค่าเงินยังเป็นไปได้ด้วยดี และการเคลื่อนไหวของค่าเงินยังไม่ผิด
สังเกต จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในขณะนี้
"
เรื่องของค่าเงินเป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องมีรัศมีในระนาบเดียวกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งในส่วนสถานการณ์ค่าเงินในขณะนี้นั้น ที่
ประชุมเห็นว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และค่าเงินแข็งพอๆ กับค่าเงินของประเทศส่วนใหญ่" นายโฆสิตระบุ
ส่วนกรณีที่ค่าเงินบาทในตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศมีความแตกต่างกันนั้น นายโฆสิต กล่าว
ว่า ธปท. รายงานค่าเงินของ
2
ตลาดที่มีความแตกต่างนั้น จะไม่มีผลกระทบซึ่งกันและกัน ไม่มีความผิดปกติเกิดขึ้น ขณะที่การดูแลก็มีกติกากำกับอยู่ และมีองค์กรที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบอยู่แล้ว
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน
เศรษฐกิจวานนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการประกอบธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่ง
ที่ประชุมเห็นด้วย แต่ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็น
เจ้าภาพ
กลับไปศึกษารายละเอียด ในกรณีโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องไปลงทุนต่างประเทศ จะเกิดผลกระทบกับแรงงาน ใน
ประเทศหรือไม่ ให้ศึกษาด้วยว่าอุตสาหกรรมใดที่เหมาะสมไปลงทุนต่างประเทศ หากเห็นว่ามีผลกระทบแรงงาน
ภายในประเทศ ให้เสนอแผนรองรับมาพร้อมกันด้วย
"
ทุกฝ่ายเห็นด้วยควรสนับสนุนธุรกิจไทยไปต่างประเทศ ทั้งลงทุนโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการ เพียงแต่ออกไปแล้วจะเกิดผลกระทบกับแรงงานภายในอย่างไร
ให้
หาทางออกมาด้วย รวมทั้งแนวทางการสนับสนุนการไปลงทุนว่า ควรจะเป็นอุตสาหกรรมใด อย่างไร ทั้งหมดภายใน
2
สัปดาห์ ที่สภาพัฒน์ต้องไปดำเนินการมา" นายราเชนทร์กล่าว
สำหรับแผนที่กระทรวงพาณิชย์เสนอนั้น มีแผนสนับสนุนทางด้านการเงินด้วย โดยเสนอให้มีการจัดตั้ง
กองทุนร่วมลงทุน หรือเวนเจอร์ แคปปิตอล วงเงิน
5
พันล้านบาท ซึ่งรูปแบบนี้ทางสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาด
กลาง-ย่อม (สสว.) ได้ดำเนินการภายในประเทศ เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง-ย่อม หรือเอสเอ็มอีอยู่แล้ว อาจนำส่วนนี้เพิ่มเติมเข้าไป โดยขยายไปลงทุนต่างประเทศ
นอกจากนี้ ได้เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นมา วงเงิน
300
ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ
1
หมื่นล้านบาท โดยภาครัฐและเอกชนนำเงินมาลงขัน
50
ต่อ
50
เพื่อให้
ภาค
ธุรกิจกู้ไปลงทุนต่างประเทศในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ลักษณะเดียวกับกองทุนช่วยเหลือสภาพคล่องธุรกิจเอสเอ็มอี
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวหลังประชุม
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน
3
สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ส.อ.ท. และสมาคมธนาคารไทย ว่า กกร.หารือถึงการตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท
ทั้งนี้ มีวงเงินช่วยเหลือรวม
5,000
ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน
2
ชนิด
คือ
1.
สินเชื่อปกติ
4,500
ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย
MLR -2.25
และ
2.
สินเชื่อของกลุ่มเอสเอ็มอีที่ขณะนี้เป็นหนี้
ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) โดยมีวงเงินในส่วนนี้
500
ล้านบาท คิดดอกเบี้ยในอัตราตลาด สินเชื่อทั้ง
2
ประเภท มีระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ
3
ปี วงเงินสินเชื่อแต่ละรายไม่เกิน
5
ล้านบาท และหากลูกค้าต้องการสินเชื่อเกิน
5
ล้านบาท ส่วนที่เกินจะคิดดอกเบี้ยตามอัตราตลาด รวมทั้งเอสเอ็มอีที่ได้รับสินเชื่อในโครงการเดิมอยู่แล้ว ไม่
สามารถ
ขอความช่วยเหลือจากโครงการนี้ได้
"
ให้เอสเอ็มอีไปลงทะเบียนแจ้งความต้องการขอสินเชื่อกับ ส.อ.ท. หรือสภา
หอการค้าแห่งประเทศไทย หรือธนาคารที่เอสเอ็มอีเป็นลูกค้าอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเอสเอ็มอีเป็นลูกค้าของธนาคารใดขอให้ไปติดต่อเพิ่มวงเงินสินเชื่อกับธนาคารนั้น โดยวิธีการดังกล่าวจะทำให้การดำเนินการขอสินเชื่อทำได้ทันที"
นอกจากนี้ กกร. หารือถึงประเด็นที่จะนำไปประชุมร่วมกับ พล.อ.
สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะจัด
ขึ้นในเดือนส.ค.
2550
โดย กกร. จะเสนอขอวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวนอกจังหวัดชายแดนภาคใต้
3
จังหวัด ประมาณ
2,000
ล้านบาท เพื่อมาช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจจากปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ กองทุนดังกล่าวควรมีลักษณะเดียวกับ
กองทุนที่ช่วยเหลือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้ผู้ประกอบการใน
3
จังหวัด และต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือด้านภาษีนิติ
บุคคล เหมือนผู้ประกอบการใน
3
จังหวัดด้วย
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า กกร. ได้หารือเกี่ยวกับกองทุนส่งเสริม การ
ส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งกองทุนดังกล่าวไม่สามารถนำดอกเบี้ยของกองทุนมาใช้จ่ายดำเนินกิจกรรม
ส่งเสริมการส่งออกและเปิดตลาดส่งออกใหม่ได้อีก และถ้าไม่สามารถนำดอกเบี้ยของกองทุนมาใช้ได้ อาจจะมี
ปัญหาด้านการส่งออก
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์สามารถ
นำดอกเบี้ยจากกองทุนดังกล่าวมาใช้ได้น้อยลง เพราะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันต่ำมาก โดยในปี
2550
กระทรวงพาณิชย์ต้องจัดงบประมาณมาเพิ่มเติมถึง
300
ล้านบาท หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งออก
ก็ควร
จัดงบประมาณมาทดแทนประมาณปีละ
800
ล้านบาท
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า มาตรการแก้ปัญหาค่าเงินบาทใช้มาแล้วประมาณ
10
วัน ซึ่งต้องรอติดตามค่าเงินบาทอีกระยะว่า จะแข็งค่าขึ้นอีกหรือไม่ จึงจะประเมินได้ว่ามาตรการที่ประกาศออกใช้ได้ผลหรือไม่ โดยในเบื้องต้นเห็นว่าใช้ได้ผลเพราะเงินบาทไม่แข็งค่าขึ้นไปถึง
32-33
บาท เหมือนที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้
ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมวานนี้ (
6
ส.ค.) ว่าที่ประชุมได้หารือถึงการผ่อนผันให้ภาคเอกชนไปลงทุนใน
ต่างประเทศได้ง่ายขึ้น โดยให้สำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รับไปพิจารณาศึกษามาตรการที่จะสนับสนุนให้
ธุรกิจไทยไปต่างประเทศได้เพิ่มเติมจากมาตรการที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินการไปแล้ว
โดย
มาตรการที่ให้ สศช. ไปพิจารณานี้ จะเน้นการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศที่ช่วยสร้างงานภายในประเทศได้ด้วย เช่น
การไปลงทุนเพื่อสร้างตลาดเพื่อการผลิตสินค้า หรือการพิจารณามาตรการรองรับด้านแรงงานในกรณีที่จะต้อง
แข่งขันกับประเทศอื่นที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งรัฐบาลจะต้องมีมาตรการรองรับเกี่ยวกับการเพิ่มทักษะให้กับแรงงานไทย
นอกจากการลงทุนของภาคธุรกิจในต่างประเทศแล้ว ดร.ฉลองภพ กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้หารือถึงการ
อนุญาตให้บุคคลธรรมดาออกไปลงทุนต่างประเทศผ่านสถาบันการเงินด้วย อย่างไรก็ตาม การเปิดให้บุคคล
ธรรมดา
ออกไปลงทุนในต่างประเทศ จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะการเปิดเสรีเงินทุนจะต้องดำเนินการ
อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ส่วนกรณีที่ ธปท.กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้
เห็นชอบในการเพิ่มวงเงินที่ให้กองทุนรวมของไทยไปลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น จากเดิมที่มีวงเงิน
6,800
ล้านดอลลาร์ เป็น
10,000
ล้านดอลลาร์นั้น ก็ได้มีการรายงานให้ที่ประชุมทราบ ซึ่งกรณีนี้ไม่น่าจะติดขัดปัญหาอะไร
ดร.ฉลองภพ ยังได้กล่าวถึง กรณีที่อัตราค่าเงินบาทในสองตลาดมีความแตกต่างกันมากด้วยว่าขณะนี้ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสองตลาดแยกออกจากกันได้ชัดเจนแล้ว เห็นได้จากบางช่วงที่ตลาดออฟชอร์แข็งค่าขึ้น ขณะที่ตลาดออนชอร์ค่าเงินกลับอ่อนลง ซึ่งในกรณีที่มีความกังวลว่า อาจจะมีการยักย้ายเงินบาทในประเทศออกไปนอกประเทศนั้น ไม่น่าจะทำได้จำนวนมากนัก เพราะกฎหมายระบุจำนวนเงินที่อนุญาตให้เอาเงินออกไป
ชัดเจน อีกทั้งหากมีการนำเงินบาทออกนอกประเทศจริง เงินบาทในตลาดออฟชอร์ ก็ไม่น่าจะแข็งค่ามาก
อย่างที่
เป็นอยู่
ดร.ฉลองภพ กล่าวด้วยว่า ระยะต่อไปกระทรวงการคลังและ ธปท.จะต้องศึกษาหารือเกี่ยวกับตลาดอัตรา
แลกเปลี่ยนว่าควรจะปล่อยให้เป็นสองตลาดต่อไป หรือจะให้เหลือเพียงตลาดเดียว ซึ่งขณะนี้ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการมีตลาดเดียวหรือสองตลาด อะไรเป็นสิ่งที่ดีกว่ากัน อย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องพิจารณาเร่งด่วน
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวภายหลัง การ
ประชุมถึงกองทุนให้ความช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(
เอสเอ็มอี) จำนวน
5,000
ล้านบาท ว่า ขณะนี้ผู้ที่ประสบปัญหาจากค่าเงินบาทที่ต้องการกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำสามารถไปขอวงเงินกู้ยืมได้เลย โดยเชื่อว่า สาขาธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ทั่วประเทศน่าจะรองรับในการขอกู้ยืมได้อยู่แล้ว เพราะธนาคารพาณิชย์มีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าอยู่แล้ว ทั้งนี้ คาดว่าวงเงินนี้น่าจะใช้หมดภายในปีนี้ แต่หากใช้หมดก่อนก็อาจจะมีการพิจารณาต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไร
นายสันติ กล่าวด้วยว่า จากการประเมินมาตรการดูแลค่าเงินบาทของ ธปท.ทั้ง
6
ข้อนั้นเป็นมาตรการ ที่ทุก
คนเห็นชอบด้วย อย่างไรก็ตาม การประเมินผลของมาตรการของ ธปท.ยังจะต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะเพิ่งประกาศใช้มาตรการไปเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
นายสันติ กล่าวถึง ข้อหารือของที่ประชุมในกรณีที่จะช่วยสนับสนุนให้เอกชนออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ด้วยว่าคงจะต้องมีการหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ หรือประเภทอุตสาหกรรมที่จะสนับสนุน
ให้ไปลงทุน รวมถึงมาตรการด้านภาษีที่จะสนับสนุนการไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งคณะทำงานที่มี สศช. เป็น
ตัวกลางจะหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ต่อไป
กรุงเทพธุรกิจ 7 ส.ค. 50
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
ใน
สรุปข่าวประจำวันของห้องสมุดกรมบัญชีกลาง
คำสำคัญ (Tags):
#การลงทุน
หมายเลขบันทึก: 117606
เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2007 10:55 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:48 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
รัฐอัดหมื่นล.หนุน...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท