หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
'สมหมาย' จวก 'ธปท...
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
'สมหมาย' จวก 'ธปท.' ไร้กิ๋น
'สมหมาย' จวก 'ธปท.' ไร้กิ๋น
"
โฆษิต" เต้นวิกฤติโรงงานทยอยเจ๊ง เรียก กก.ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-ธุรกิจรายสาขาถกด่วน ยอมรับแรงงานขาดแคลน แนะรัฐเอกชนร่วมมือกันอยู่นิ่งไม่ได้ "จักรมณฑ์" มั่นใจโรงงานจะไม่ล้มเป็นโดมิโน ระบุบาทแข็งเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง ขณะที่
"
สมหมาย" จวกแบงก์ชาติดูแลอัตราแลกเปลี่ยนผิดพลาด ปล่อยตลาดออนชอร์-ออฟชอร์ แตกต่างกันถึง
11.5%
ชี้แตกต่างแค่
5%
ก็แย่แล้ว เตือนหากปล่อยเช่นนี้เงินบาทจะยิ่งแข็งค่าขึ้น
นายโฆสิต
ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงการรับมือ
การปิดโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศ
หลังจากที่ บริษัท
ยูเนี่ยนฟุทแวร์ จำกัด (มหาชน) ขอถอนจาก
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และจะปิดโรงงานว่า
ได้รับทราบเหตุผลชัดเจนจากปัญหาการเปลี่ยน
ผ่านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ในวันที่
6
ส.ค.นี้จะหยิบยกเรื่องนี้มาหารือกันในคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนร่วม
รวมทั้งในวันที่
8
ส.ค.นี้ จะเชิญคณะอนุกรรมการธุรกิจรายสาขาเข้าหารือเรื่องนี้ด้วย
ส่วนการให้ความช่วยเหลือในกรณีของบริษัท
ยูเนี่ยนฟุทแวร์
รองนายกฯ เชื่อว่าไม่มีปัญหามากนัก
เพราะถือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ยืนยันจะช่วยเหลือคนงาน
แต่เรื่องนี้จะต้องหารือกับคณะกรรมการทั้ง
2
ชุด
ล่วงหน้า
ทั้งเรื่องคนงาน และการเปลี่ยนโครงสร้างที่จะหารือกับเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมว่าจะเปลี่ยนแปลงได้
อย่างไร แต่จะให้อยู่นิ่งคงไม่ได้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นขณะนี้คือแรงงาน แต่โดยภาพรวมแรงงานขาดแคลนก็น่าจะจัดการได้หากมองในภาพสำคัญ เมื่อมีอุตสาหกรรมที่มีปัญหานโยบายของบริษัทก็อาจจะปรับโครงสร้างไปทำอย่างอื่น ซึ่งจะต้องมีการประคับประคองทั้งจากภาครัฐและเอกชน
นายโฆสิตระบุว่า ขณะนี้ทราบว่าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง เช่น สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม
รองเท้า ฯลฯ หลาย
แห่งเข้าไปขยายงานในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นระยะ หรือลดงานในปริมณฑลเพื่อไปขยายงานในต่างจังหวัด เนื่องจากหาแรงงานในปริมณฑลไม่ได้ แต่ปัญหาแรงงานนี้เมื่อไปต่างจังหวัดก็กลับหาคนงานไม่ได้เช่นกัน จนยอมรับว่าการแก้ไขปัญหาแรงงานอย่างเป็นระบบนั้นทำได้ยาก เพราะมีทั้งขาดแคลนและเกินความจำเป็น
ดังนั้น
จึงจะต้องแก้ปัญหาโดยใช้การบริหารการจัดการ ซึ่งขณะนี้กระทรวงแรงงานกำลังดำเนินการทั้งทักษะและ
ความต้องการของโรงงาน ในส่วนของบริษัทไทยที่ย้ายฐานไปต่างประเทศเพื่อหาแรงงานนั้น ยอมรับว่าขณะนี้
มี
หลายแห่งย้ายฐานไปที่ประเทศลาวและเวียดนามบ้างแล้ว
ส่วนข้อเสนอของนาย
ณรงค์ชัย อัครเศรณี
ประธานกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า
แห่งประเทศไทย
(
ธสน.) ให้เพิ่มผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเพื่อดูแลการผันผวนของค่าเงินบาทโดยเฉพาะ นาย
โฆษิตกล่าวว่า ประเด็นนี้นายณรงค์ชัยอาจจะเสนอนาย
เกริกไกร จีระแพทย์
รมว.พาณิชย์หรือไม่
แต่ส่วนตัวเห็นว่าในภาพรวมของเศรษฐกิจนั้นคิดว่าในเรื่องของค่าเงินและการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง สิ่งที่ต้องการคือ
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ไม่ได้ต้องการว่าจะต้องมีคนเพิ่ม เพราะความร่วมมือกันไม่กระชับขึ้นเรื่อย
ๆ การแก้ปัญหาจะยาก
ด้านนาย
จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงเหตุการณ์ที่โรงงานอุตสาหกรรมรองเท้า
เริ่มทยอยปิดตัวลงในขณะนี้ว่า ขณะนี้ทางกระทรวงอุตสาหกรรมเองก็ได้ตรวจสอบข้อมูลโรงงานอุตสาหกรรมทุก
เช้าตลอดเวลา พบว่าโรงงานในแถบจังหวัดเชียงราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานเกี่ยวกับสินค้าเกษตรเริ่มมีปัญหาบ้างแล้ว นอกจากนี้ยังได้สั่งให้ติดตามโรงงานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีด้วย เพราะเป็นจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก และเห็นว่าการที่โรงงานอุตสาหกรรมปิดตัวก็เป็นเรื่องธรรมชาติของทุกอุตสาหกรรมที่มีทั้งปิดและ
เปิดเป็นวงจร
ส่วนกรณีของบริษัท ยูเนี่ยนฟุทแวร์ ถอนตัวจาก ตลท. ปลัดอุตสาหกรรมระบุว่า เข้าใจว่าน่าจะเกิด
จากปัญหาการขาดทุนสะสมมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ส่วนการที่เงินบาทแข็งค่านั้นก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้คือ อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมรองเท้า อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร โดยในส่วนของอุตสาหกรรมรองเท้าถ้าเป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่ซับซ้อนคิดว่าไทยยังสามารถสู้ได้ แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ผลิตง่าย ๆ โดยอาศัยแรงงานราคาถูก คงต้องมีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านแน่ เพราะค่าแรงงานถูกกว่าไทย
"
ถ้าเป็นสินค้าที่มีโอกาสในการ
พัฒนายกระดับสินค้าได้ โดยเฉพาะการที่จะเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าเองได้ก็จะเป็นการดี แต่เรื่องทำการตลาด
ผู้ผลิต
สินค้าไทยคงจะลำบาก เพราะไม่มีประสบการณ์ เนื่องจากเคยแต่เป็นผู้รับจ้างผลิตให้เท่านั้น" ปลัดอุตสาหกรรมกล่าว
นายจักรมณฑ์กล่าวว่า ไม่คิดว่าการปิดกิจการของโรงงานต่าง ๆ จะเป็นโดมิโน เพราะโดยหลักจะมีการ
ปรับตัวอยู่แล้ว แม้ว่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าก็ตาม เนื่องจากเป็นวงจรของธุรกิจ เพียงแต่มีปัจจัยค่าเงินบาทเข้ามาทำ
ให้ตัวส่งออกซึ่งเป็นปัจจัยหลักของอุตสาหกรรมไทยมีปัญหา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก เพราะการที่เงินบาทแข็งค่าเป็นปัจจัยอ่อนไหวต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงาน เพราะจะทำให้ค่าแรงแพงขึ้น
นาย
สุชาติ สักการโกศล
ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ ธนาคาร
แห่งประเทศไทย
(
ธปท.) เปิดเผยว่า
ธปท. ได้อนุญาตให้กองทุนส่วนบุคคลสามารถนำเงินไปลงทุนยังต่างประเทศ
ได้ จากเดิมที่อนุญาตเฉพาะกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เพราะเท่าที่ดูในขณะนี้พบว่ามีกองทุนส่วนบุคคล
ที่มีความพร้อมที่จะไปลงทุนต่างประเทศหลายกองทุน คิดเป็นเม็ดเงินรวมกับเกือบ
100,000
ล้านบาท
"
คาดว่าใน
สัปดาห์นี้ ธปท. จะสามารถจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน
5,000
ล้านบาทได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดสรรวงเงินให้ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมถึงพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ด้วยว่าจะใช้ระดับใดจึงจะเหมาะสม
ซึ่งปกติ
ธปท. จะคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อต่ำในระดับ
MLR-2.25%
ต่อปี" นายสุชาติกล่าว
นางสุชาดา
กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ค่าเงินบาทในช่วงนี้เริ่มมีเสถียรภาพ
แล้ว ซึ่งน่าจะเป็นผลจากมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่เพิ่งประกาศไป
6
แนวทาง
ส่วนดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับลดลงอย่าง
รุนแรงวานนี้อาจจะยังไม่ใช่สัญญาณที่บ่งชี้ว่ามีเงินทุนไหลออกจนทำให้บาทอ่อนค่า
เพราะการที่ต่างชาติขายหุ้นก็
ยังสามารถฝากเงินไว้ในบัญชีเงินฝากในประเทศได้
ขณะเดียวกัน ธปท. ยังไม่กังวลต่อปัญหาหนี้เสียในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งส่อเค้าเป็นภาวะฟองสบู่
ทำให้ความเชื่อมั่นในเงินสกุลดอลลาร์ลดลง
เพราะเรามีกรอบป้องกันหลายอย่าง เชื่อว่าเราจะไม่เจอปัญหาภาวะฟองสบู่อย่างสหรัฐแน่นอน
นักบริหารอัตราแลกเปลี่ยนธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งเปิดเผยว่า ค่าเงินบาท ณ วันที่
2
ส.ค. เปิดที่ระดับ
33.81-33.83
บาทต่อดอลลาร์ และปิดตลาดในระดับทรงตัวที่ระดับ
33.81-33.83
บาทต่อดอลลาร์
ระหว่างวัน
ค่าเงินบาทนิ่งมาก เพราะช่วงนี้ไม่มีปัจจัยมากระตุ้น
โดยระหว่างวันค่าเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ
33.80
บาทต่อ
ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ
33.82
บาทต่อดอลลาร์ สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวในวันพรุ่งนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ
33.75-33.85
บาทต่อดอลลาร์
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังทำสรุป
เกี่ยวกับ
สถานการณ์ค่าเงินบาทที่ช่วงนี้มีการอ่อนค่าลงไปจากก่อนหน้านี้ เพื่อเสนอเป็นรายงานต่อนาย
ฉลองภพ สุสังกร์
กาญจน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำหรับนำไปใช้เป็นข้อมูลการประชุมคณะรัฐมนตรี และการประชุมอื่น ๆ ที่
เกี่ยวข้อง โดยเหตุผลที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงนี้
หากจะบอกว่าเป็นผลสำเร็จจากการที่
ธปท. ออกมาตรการ
6
ข้อ
คงไม่ใช่ เพราะต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนต่างชาติมีการเทขายหุ้นออกมามาก
อย่างไรก็
ดี
คงต้องฟังข้อสรุปจาก ธปท. ว่าวัดผลสำเร็จของมาตรการทั้ง
6
ข้ออย่างไร
นอกจากนี้
สศค. ยังจับตาว่า หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการลดดอกเบี้ยนโยบายลง
ก็อาจจะส่งผลกระทบทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเชียเพิ่มขึ้นอีก รวมถึงจะทำให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วย รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ ที่จะส่งผลกระทบให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนมากขึ้น
"
ในส่วนของกระทรวงการคลัง อยากเห็นค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ
34-34.5
บาทต่อ
ดอลลาร์สหรัฐ โดยเห็นว่า
ธปท. ควรต้องมีการเข้าไปแทรกแซงอย่างต่อเนื่อง ไม่งั้นเงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นอีก"
ขณะที่นาย
สมหมาย ภาษี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันนโยบายการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศของ ธปท. กำลังดำเนินไปบนพื้นฐานที่มีปัญหา เนื่องจากมีการปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนของตลาดเงินในประเทศ (ออนชอร์) และตลาดเงินในต่างประเทศ
(
ออฟชอร์) แตกต่างกัน
ถึง
11.5%
โดยล่าสุดเมื่อวันที่
2
ส.ค. ค่าเงินบาทในออนชอร์มีการอ่อนค่าลงบ้างมาอยู่ที่
33.81
บาทต่อดอลลาร์
สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินบาทในออฟชอร์กลับแข็งค่าอยู่ที่
29.89%
หรือห่างกันเกือบ
4
บาท เนื่องจาก ธปท.บริหารจัดการแบบที่ทำให้เกิดการตัดขาดระหว่าง
2
ตลาด
ทั้งนี้
หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป
เงินบาทก็จะยิ่งแข็งค่าขึ้น และยังจะทำให้เกิดการเก็งกำไรระหว่าง
2
ตลาดมากขึ้นด้วย ซึ่งเห็นว่าเรื่องดังกล่าวจะประมาทไม่ได้ เพราะจะยิ่งทำให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง
2
ตลาดเข้าใกล้กันยากยิ่งขึ้น นอกจากนี้มีข้อมูลว่าก่อนที่จะมีการออกมาตรการกันสำรอง
30%
อัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง
2
ตลาดก็อยู่ใกล้เคียงกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
"
ผมเคยพยายามถามผู้ว่าการ ธปท. ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่ต้องดูว่าบาทมันมีค่าที่ออฟชอร์ เพราะว่ามันมีธุรกรรมมากที่ออฟชอร์
มีความต้องการ ซื้อบาทมาก
ดังนั้นต้องยอมรับว่าทางออฟชอร์มีความสำคัญ ถ้าไม่สำคัญก็คงไม่มีการขึ้น ๆ ลง ๆ หรอก แล้วการที่ออฟชอร์แข็งค่าวันนี้ ก็แสดงว่าบาทมันน้อยลง โดยการที่ยิ่งห่างกันก็มีการมองกันว่าออฟชอร์จะยิ่งแข็ง แล้วการที่ ธปท. บอกว่าจะสนับสนุนให้คนไปลงทุนต่างประเทศ ใครมันจะไป และถึงจะบอกว่าจะทำให้ออนชอร์อ่อนลง
คนก็ไม่เชื่อ"
นายสมหมายกล่าว
รมช.คลังกล่าวอีกว่า
มีวิธีการที่จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของ
2
ตลาดเข้าใกล้กันมากขึ้น ได้แก่ การปล่อย
ให้รัฐวิสาหกิจหรือบริษัทเอกชนที่ต้องการซื้อเงินดอลลาร์ที่ตลาดออฟชอร์ สามารถนำเงินบาทออกไปซื้อได้ โดยอาจจะ
ใช้วิธีการโอนผ่านธนาคารพาณิชย์ก็ได้
หรือให้ทาง ธปท. เองเป็นผู้ไปซื้อดอลลาร์ที่ตลาดออฟชอร์ให้มากขึ้น
ซึ่งที่
ผ่านมาการที่
ธปท. ไม่ดำเนินการตามแนวทางนี้
เนื่องจากความไม่รู้ และทำให้กลัวว่าอาจจะยิ่งทำให้เกิดการเก็งกำไร
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการคลังและรัฐบาลก็เคยมีการเสนอขอชำระหนี้ก่อนกำหนดผ่านทางออฟชอร์
แต่ ธปท. ปฏิเสธไม่ให้ทำ เพราะไม่ต้องการให้ทำนอกรูปแบบที่เคยทำ
ซึ่งเกรงว่าจะทำให้บริหารจัดการได้ยาก
โดยที่จริงแล้วไม่ต้องกลัว เพราะ
ธปท. สามารถมอนิเตอร์ได้ตลอดอยู่แล้ว และต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยให้มีเงินบาทไปทำธุรกรรมในออฟชอร์เพิ่มมากขึ้น
"
วิธีของ ธปท. ที่ทำอยู่มันไม่เป็นธรรมชาติ เพราะว่า จะทำ
อะไรก็ต้องขอก่อน แต่การที่
2
ตลาดต่างกันถึง
11.5%
ผมว่าแค่
5%
ก็มากเกินไปแล้ว มันจะเป็นสัญญาณบอกว่ามีปัญหาพื้นฐานทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศเรา แสดงว่าเราบริหารจัดการบนพื้นฐานที่มีปัญหา
ขณะเดียวกัน ธปท. ยึดแต่นโยบายเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ มันจึงมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาด" รมช.
คลังกล่าว
อย่างไรก็ดี
ยืนยันว่าการออกมาพูดในครั้งนี้เป็นความเห็นของตนที่ต้องการแสดงในเชิงวิชาการ ไม่ได้ต้องการบีบ ธปท. แต่อย่างใด
รวมถึงเรื่องข้อเสนอให้เปลี่ยนแปลงตัวผู้ว่าการ
ธปท.
ตนก็ไม่เคยมีความคิด ในเรื่องนี้
นายสมหมายกล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ช่วงนี้มีการปิดกิจการของบริษัทผลิตสินค้าส่งออกหลายแห่งนั้น
เชื่อว่าแม้จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนกว่าปัจจุบัน ก็จะต้องมีการปิดกิจการอีก เพราะบริษัทเหล่านั้นไม่มีการปรับตัว
ให้แข่งขันได้ รวมถึงมีบางบริษัทที่ใกล้ปิดกิจการอยู่แล้ว ผสมโรงอ้างผลกระทบจากกรณีการแข็งค่าของเงินบาท
ด้วย ซึ่งค่าเงินไม่ได้แข็งค่าเฉพาะไทยประเทศเดียว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่รัฐบาลพยายามช่วยก็คือ พยายามตรึงค่าเงินไม่ให้
แข็งค่ามากเกินไป แต่เชื่อว่าถ้ายังปล่อยให้
2
ตลาดแตกต่างกันมากอย่างปัจจุบัน ก็คงตรึงค่าเงินบาทไม่ให้
แข็งค่า
ได้อีกไม่นาน
นาย
โชติชัย สุวรรณาภรณ์
ผู้อำนวยการสำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ความเข้าใจที่ไม่ยอมให้นำเงินบาทออกไปทำธุรกรรมในตลาดออฟชอร์ เพราะเกรงว่าจะเกิดการเก็งกำไร
ถือว่าเข้าใจผิด แต่ตรงกันข้าม โดยหากปล่อยให้
2
ตลาดแตกต่างกันมาก ก็จะยิ่งมีการเก็งกำไรมากขึ้น
ซึ่งที่ผ่าน
มาการออกมาตรการ
30%
ของ ธปท. มีผลทำให้
2
ตลาดแตกต่างกันมากขึ้น
อย่างไรก็ดี หาก ธปท.ใช้วิธีที่สามารถลดส่วนต่างลงได้ ก็ไม่จำเป็นต้องยกเลิกมาตรการ
30%
ก็ได้ และความแตกต่างกันระหว่าง
2
ตลาด ก็ควรจะลดลงให้น้อยกว่านี้ เพราะแค่
5%
ก็ถือว่ามากแล้ว แต่ปัจจุบันต่างกันถึง
11.5%
นาย
สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
คณะทำงานติดตามการทำงาน คมช.และรัฐบาล
กลุ่มไทยรักไทย
กล่าวว่า ผลจากการทำงานของรัฐบาล พล.อ.
สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี บริหารงานล้มเหลวเกิดปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
ในส่วนของกองทัพก็ใช้งบประมาณกว่า
4
พันล้านบาท ซื้ออาวุธจากต่างประเทศที่ไม่มีคุณภาพ
ตนจึงอยากให้รัฐบาลหันมาดูแลปัญหาเรื่องปากท้องให้ประชาชน ขอเสนอแนะให้ตั้งวอร์รูมดูแลเรื่องดังกล่าว
โดยเฉพาะ ไม่ใช่มัวแต่ไปรณรงค์ให้ประชาชนออกมารับร่างรัฐธรรมนูญบอกว่าต้องรับเพื่อให้มีการเลือกตั้ง แต่ไม่เห็นว่ารัฐบาลจะมาดูแลเรื่องปากท้องของประชาชนเลย
ไทยโพสต์ 3 ส.ค. 50
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
ใน
สรุปข่าวประจำวันของห้องสมุดกรมบัญชีกลาง
คำสำคัญ (Tags):
#ภาวะเศรษฐกิจ
หมายเลขบันทึก: 116545
เขียนเมื่อ 3 สิงหาคม 2007 11:31 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:45 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
'สมหมาย' จวก 'ธปท...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท