ทฤษฏีตาข่ายภาวะผู้นำ (The Leadership Grid Theory)
ทฤษฏีนี้พัฒนามาจากผลการศึกษาวิจยของมหาวิทยาลยโอไฮโอเสตทและของมหาวิทยาลัยมิชิแกน นำเสนอทฤษฏีโดย เบลคและมูตัน (Blake & Mouton,1985) จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ทฤษฏีนี้ได้แบ่งพฤติกรรมของผู้นำทั้งด้านที่มุงผลผลิตและด้านมุงคน ให้แต่ละด้านแบ่งเป็น 9 ระดับ นำมาประกอบกันเพื่อจัดทำเป็นตารางตาข่ายท่มีด้านแนวนอนแทนพฤติกรรมที่มุ่งผลผลิตและด้านแนวตั้งแทนพฤติกรรมที่มุ่งคน จึงเกิดเป็นตารางตาข่ายที่เกิดจากการผสมพฤติกรรมทั้งสองที่แทนแบบภาวะผู้นำขึ้นได้ 81 ช่อง
9 |
Country Club Management ผู้นำที่เอาแต่น้ำใจคน |
|
|
|
| Team Management ผู้นำแบบทำงานเป็นทีม |
|
| 9,9 | ||||
8 |
|
|
|
|
|
|
|
|
| ||||
7 |
|
|
|
|
|
|
|
|
| ||||
6 |
|
|
|
|
|
|
|
|
| ||||
5 |
|
|
| Middle of the Road Management ผู้นำแบบพบกันครึ่งทาง | 5,5 |
|
|
|
| ||||
4 |
|
|
|
|
|
|
|
|
| ||||
3 |
|
|
|
|
| Authority-Compliance Management ผู้นำแบบเอาแต่งาน |
|
|
| ||||
2 | Impoverished Management ผู้นำแบบย่ำแย่ |
|
|
|
|
|
|
|
| ||||
1 | 1,1 |
|
|
|
|
|
|
| 9,1 | ||||
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
พฤติกรรมมุ่งผลผลิต (Concern for Results)
1. ผู้นำแบบเอาแต่งาน หรือแบบ 9,1 (Authority-compliance)
เป็นผู้นำที่เน้นหนักกับความสำคัญของงาน และให้ความสำคัญน้อยกับผู้ปฏิบัติงาน โดยมองคนว่าเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งในการทำงานให้งานสำเร็จ ถือว่าการสื่อสารกับลูกน้องเป็นเรื่องไม่จำเป็น ยกเว้นกรณีที่ต้องออกคำสั่งให้ปฏิบัติงานเท่านั้น เป็นผู้นำที่ผลักดันทุกอย่างให้เกิดผล คนอื่นจึงเป็นเพียงเครื่องมือไปสู่งจุดหมายปลายทาง พฤติกรรมของผู้นำแบบ 9,1 ที่เห็นบ่อยก็คือ การควบคุมใช้อำนาจและบีบบังคับกดดันให้คนทำงานหนักไปสู่เป้าหมายที่ตนต้องการ
2. ผู้นำที่เอาแต่น้ำใจตคน หรือแบบ 1,9 (Country club)
เป็นผู้นำที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับงาน (low concern for task) แต่จะให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสูง (high concern for people) ไม่เน้นความสำคัญของงานมากนัก แต่พยายามทำให้ลูกน้องเกิดความพึงพอใจและมีความรู้สึกที่ดี จะพยายามเจ้าใจใส่ดูแลให้ความต้องการด้านส่วนตัวและด้านสังคมของลูกน้องบรรลุผล พยายามสร้างบรรยากาศเชิงบวกขึ้นในที่ทำงาน ด้วยวิธีตกลงรอมชอบ อยู่กันแบบสบายๆ พยายามหลีกเลี่ยงการเกิดขัดแย้งและเต็มใจให้ความช่วยเหลือเอื้อประโยชน์แก่ลูกน้องอย่างเต็มที่
3. ผู้นำแบบย่ำแย่ หรือแบบ 1,1 (Impoverished)
ผู้นำแบบนี้เป็นผู้นำที่ไม่ใส่ใจให้ความสำคัญทั้งด้านงานและคน ชอบแสดงตัวว่าเป็นผู้นำ แต่ไม่มีพฤติกรรมแสดงออกให้เห็นถึงการเป็นผู้นำ ขาดความรับผิดชอบ ละทิ้งงาน เลี่ยงปัญหา เลี่ยงพบปะคน แสดงความเฉยเมย ไม่ยอมผูกพันหรือรับปากใดๆ ถอนตัวจากกิจกรรมต่างๆ อยู่แบบคนไร้อารมณ์ ถือว่า เป็นผู้ขาดคุณสมบัติผู้นำ ตามคำนิยาม ภาวะผู้นำสมัยใหม่
4. ผู้นำแบบพบกันครึ่งทาง หรือแบบ 5,5 (Middle of the road)
ผู้นำแบบนี้จะมีลักษณะประนีประนอม มีเป้าหมายของงานในระดับปานกลาง ไม่สูงมัก เช่นเดียวกันกับด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็อยู่ระดับปานกลาง เป็นผู้พยายามหาจุดสมดุลระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับการทำให้งานสำเร็จเกิดความพอดีทั้งสองด้าน แต่อยู่ในลักษณะได้ทั้งสองด้านแค่พอประมาณเท่านั้น พฤติกรรรมของผู้นำแบบนี้ คือ ชอบการประนีประนอมไปชอบความขัดแย้ง แก้ปัญหาแบบใช้ไม้นวม บางครั้งก็ยอมเสียคำพูดเพื่อใหงานคืบหน้าหรือแก้ข้อขัดแย้งได้ ข้อยุติในการแก้ปัญหาจึงมักมีลักษณะแบบเฉพาะกิจไม่ถาวร
5. ผู้นำแบบทำงานเป็นทีม แบบ 9,9 (Team management)
เป็นผู้นำที่มุ่งเน้นความสำคัญทั้งด้านงานและด้านคน โดยส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติงานเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานและสร้างวิธีการทำงานแบบทีมในองค์การ พยายามให้ความใส่ใจดูแลทุกข์สุขตอบสนองต่อความต้องการของผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความรักผูกพันต่องาน วีที่บ่งชี้ลักษณะของผู้นำแบบนี้ได้แก่ กระตุ้นการมีส่วนร่วม ปฏิบัติการอย่างมุ่งมั่น จัดลำดับความสำคัญชัดเจน เปิดใจกว้าง มีความเปิดเผย มองทะลุปรุโปร่งและสนุกกับงาน ผู้นำแบบนี้ ถือว่าเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผลสูงสุด บางทีเรียกว่า High-high leader
6. ผู้นำแบบพ่อแม่ หรือแบบ 9+9 (Paternalism/Materialism)
เป็นแบบของผู้นำที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้นำใช้ทั้งแบบ 1,9 และแบบ 9,1 โดยมิได้บูรณาการทั้งสองแบบเข้ด้วยกันแต่งอย่างใด เป็นพฤติกรรมของผู้นำที่เหมือนพ่อ แม่ กล่าวคือจะให้รางวัลหรือแสดงการยอมรับเมื่อลูกเชื่อฟังโอวาท แต่ในทางกลับกันถ้าประพฤติผิด ไม่เชื่อฟังก็จูกลงโทษ แต่การกระทำทั้งสองทางตั้งอยู่บนพื้นฐานความรักเมตตาปราถนาให้ลูกเป็นคนดี ผู้นำแบบพ่อแม่ก็อยู่บนพื้นฐานแบบเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่า เป็นเผด็จการที่มีเมตตา คือ จะมีพฤติกรรมที่แฝงด้วยความเมตตาต่อผู้ใต้บัคงคับบัญชา แต่ที่ทำเช่นนั้นก็เพื่อวัตถุประสงค์ให้งานสำเร็จและมีวิธีการปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนเป็นพฤติกรรมไม่เกี่ยวกับงาน
7. ผู้นำแบบฉกฉวยโอกาส (Opportunism)
เป็นผู้นำที่เลือกใช้การผสมของแบบผู้นำตั้งแต่แบบตามข้อ 1-5 โดยเลือกการผสมไปใช้ตามโอกาสที่จะก่อให้เกิดประโยชน์เพื่อส่วนตัวของตน เช่น เพื่อการสร้างภาพให้ตนเอง เพื่อใช้ในการฉกฉวยโอกาสไต่เต้าตนเอง เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นต้น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ค่อยข้างเห็นแก่ตัว
ทฤษฏีภาวะผู้นำทีอาร์ซี (TRC Leadership Theory)
ผู้พัฒนาทฤษฏีนี้คือ ยุคล์ (Yukl, 1997) โดยให้เหตุผลว่า ทฤษฏีพฤติกรรมผู้นำแบบ 2 องค์ประกอบในอดีต ไม่สามารถอธิบายครอบคลุมพฤติกรรมทุกด้านของผู้นำในยุคปัจจุบันได้ครบถ้วนอีกต่อไป จึงได้พัฒนาทฤษฏีขึ้นด้วยตัวอักษรย่อ TRC มาจาก Task-Relations-Change เป็นพฤติกรรมของผู้นำแต่ละด้าน ซึ่งเขาเชื่อว่าจำเป็นและสำคัญต่อความมีประสิทธิผลของผู้นำในยุคที่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ได้แก่
1. พฤติกรรมที่มุ่งงาน (Task-oriented behavior)
เป็นพฤติกรรมของผู้นำที่เกี่ยวกับการทำให้งานสำเร็จ การใช้ทรัพยากรและบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาความมั่นคง และความน่าเชื่อถือในการดำเนินกิจการ การปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มผลผลิต โดยมีพฤติกรรมหลักของผู้นำที่ใช้ได้แก่ การกำหนดความชัดเจนของบทบาท การวางแผน การจัดองค์การเพื่อปฏิบัติงานและการคติดตามตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน รวมถึงพฤติกรรมที่เรียกว่ามุ่งกิจสัมพันธ์ (initiating structure)
2. พฤติกรรรมที่มุ่งความสัมพันธ์ (Relations-orientation behavior)
เป็นพฤติกรรมของผู้นำที่เกี่ยวกับการปรับปรุงความสัมพันธ์และช่วยเหลือผู้อื่น โดยการเน้นความร่วมมือและการทำงานแบบทีมงาน การเพิ่มความพึงพอใจในงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชามากขึ้น การสร้างความรู้สึกร่วมในเอกลักษณ์ขององค์การ กิจกรรมที่เป็นพฤติกรรมหลักของผู้นำด้านนี้ก็ไ
อยากทราบข้อมูลของหลักสูตรและกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถหล่อหลอมให้เด็กและเยาวชนตั้งแต่ ม.1-ปี 4 เกิดภาวะผู้นำ ถ้าอาจารย์ไม่มี บ๋อมขอคำแนะนำในการหาข้อมูลดังกล่าวก็ได้นะคะ เผอิญต้องใช้อ้างอิงเกี่ยวกับงานค่ะ มีความสำคัญมากๆ