ไหมพุมเรียง ของดีศรีวิชัย
วิโรจน์ แก้วเรือง
พระบรมธาตุคู่เมือง รุ่งเรืองพุทธศาสน์
พุทธทาสปราชญ์โลก สวนโมกขพลาราม
ลือนามศรีวิชัย ผ้าไหมพุมเรียง
ทะเลเคียงหาดทราย แหล่งซื้อขายไข่เค็ม
ถ้าพูดถึงบ้านพุมเรียง หลายๆ ท่านคงไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนแต่ถ้าได้อ่านคำขวัญของอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ข้างต้น ก็คงพอจะนึกได้ แต่ก็ไม่มากนักที่จะมีโอกาสไปเยือนบ้านพุมเรียง เนื่องจากบ้านพุมเรียง ไม่ได้อยู่ติดกับถนนสายหลัก กรุงเทพฯ-สุราษฎร์ธานี หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41 ผู้ที่เดินทางโดยรถยนต์เป็นประจำหรือชั่วคราว ก็มักจะแวะนมัสการท่านพุทธทาสปัจจุบันท่านได้มรณภาพแล้ว พระนักปราชญ์ของชาวใต้ชาวไทยและชาวโลก ที่วัดสวนโมกข์พลาราม แล้วก็แวะซื้อไข่เค็ม ตามร้านเพิงริมถนนหลายสิบร้าน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นร้านที่ชนะเลิศการประกวดไข่เค็มมาแล้วทั้งนั้น เรียกว่า จะหาซื้อไข่เค็มจากร้านที่ชนะเลิศรางวัลที่ 2 ที่ 3 นั้นไม่มีเลย พูดง่ายๆ อร่อยทุกร้านไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
บ้านพุมเรียง ตั้งอยู่ในตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พุมเรียงอยู่ติดทะเล อ่าวไทย มีแหลมโพธิ์ ซึ่งเป็นแหลมสวยงามและมีหาดทรายขาวสะอาด ดังนั้น การเดินทางไป สุราษฎร์ธานี ครั้งต่อไปขอให้บ้านพุมเรียง และอำเภอไชยา อยู่ในหัวใจท่านในการไปเยือนบ้านและอำเภอนี้ ทำไมผมจึงอยากเชิญชวนท่านให้เดินทางไป ด้วยเมืองไชยา หรือเมืองศรีวิชัย ในชื่อเดิม มีความเจริญรุ่งเรืองในระหว่างพุทธศตวรรษ ที่ 12-17 มีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุมหัวเมือง ทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองตะกั่วป่า ฯลฯ ไชยา มาจากคำว่า “วิชะยะ” หรือ “วิชัยยะ” คนทางใต้มักออกเสียงสั้นๆ ว่า “ชัยยะ” จนเพี้ยนมาเป็น “ไชยา” ในปัจจุบัน สถานที่สำคัญที่ท่านควรไปแวะคือ วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร อยู่ในตำบลเวียง อำเภอไชยา ห่างจากสถานีรถไฟไชยาไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1 กิโลเมตร พระบรมธาตุไชยาเป็นพุทธเจดีย์แบบศรีวิชัย บรรจุพระสารีริกาธาตุ นับว่าเป็นเจดีย์แบบศรีวิชัยที่มีความสมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัน และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติไชยา ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
อาชีพของชาวไชยา เนื่องจากไชยามีดินดี น้ำบริบูรณ์จึงเป็นอู่ข้าวอู่น้ำมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันจนได้รับการขนานนามว่า “อันเมืองไชยาใครไปใครมา อาหารไม่อด อารีอารอบ ไม่ชอบถือยศ เป็นที่ปรากฏ มาตั้งแต่ไร” ดังนั้นการทำนาจึงเป็นอาชีพหลัก รองลงมาเป็นการประมงมีทั้งการทำประมงน้ำจืด และประมงน้ำเค็ม มีการเลี้ยงหอยแครง หอยตะโกรม และกุ้งกุลาดำ ส่วนการเลี้ยงสัตว์ การทำไข่เค็ม และทำน้ำตาลโตนด ก็มีบ้างที่ยึดเป็นอาชีพ
การทอผ้า เมืองไชยาเคยมีชื่อเสียงโด่งดังในการทอผ้ามาแต่โบราณ และยึดเป็นอาชีพมาถึงปัจจุบันนี้แหล่งผลิตผ้าที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่บ้านพุมเรียง มีการทอผ้าไหมยกดอก ผ้าพื้น ผ้าขาวม้า ฯลฯ การทอผ้าไหมพุมเรียงเป็นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของกลุ่มคนไทยมุสลิมภาคใต้ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ บ้านหัวเลน หมู่ที่ 2 บริเวณคลองพุมเรียง ตำบลพุมเรียง ซึ่งสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนจนเป็นที่ยอมรับว่า ผ้าไหมพุมเรียงมีลวดลายสวยงาม มีลักษณะเด่นที่แตกต่างไปจากผ้าไหมภาคอื่นๆ คือ การทอยกดอกด้วยไหมและดิ้น เช่น ผ้ายกดอกตามเกสร ผ้ายกดอกหน้านาง เป็นต้น
คุณวรรณม๊ะ นุ้ยหมีน เจ้าของร้านวรรณม๊ะ ไหมไทย ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า ชาวไทยมุสลิมบ้านพุมเรียงส่วนหนึ่งสืบเชื้อสายมาจากแขกเมืองสงขลา เป็นพวกมลายูอพยพมาจากหมู่เกาะอินโดนีเซียบางส่วนมีเชื้อสายแขกเมืองปัตตานีและไทรบุรีที่อพยพเข้ามาอยู่พุมเรียงในสมัยรัตนโกสินทร์ แม้จะมีการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมกับชาวไทยแต่ก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมการทอผ้าไหมยกดิ้นเงิน ดิ้นทอง หรือยกไหม อันเป็นเอกลักษณ์ที่ต่างไปจากผ้าทอของคนไทยในสมันนั้น ศิลปะการทอผ้าไหมได้ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่เยาวชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหญิงสาวมุสลิมที่จะออกเรือนต้องเตรียมผ้าที่จำเป็นทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง จึงทำให้สามารถรักษาศิลปะการทอผ้าอันโดดเด่นนี้ไว้ได้ ในอดีตผ้าที่ทอใช้ในชีวิตประจำวันจะทอทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย เป็นผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้าพื้น ผ้าริ้ว ผ้าขาวม้า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าฝ้าย สำหรับผ้าที่ใช้ในพิธีการต่างๆ จะทอด้วยไหม หรือฝ้ายแกมไหมมีลวดลายยกดอกสวยงาม เดิมผ้านี้ใช้ได้เฉพาะเจ้านายและขุนนาง ต่อมาเมื่อคนธรรมดาใช้ได้จึงนิยมนุ่งในพิธีสำคัญ เช่น คนไทยนิยมนำไปให้นาคนุ่งในงานบวช ฯลฯ จึงมีการทอขายให้เฉพาะผู้สั่งทำ ผ้าไหมยกดอกพุมเรียงจึงยังไม่แพร่หลายนัก หลังปี พ.ศ. 2480 มีการนำกี่กระตุกไปเผยแพร่ในตำบลพุมเรียง จึงมีการทอผ้าไหมได้มากขึ้น และส่งจำหน่ายในที่ต่างๆ ทำให้เริ่มรู้จักผ้าไหมพุมเรียงเพิ่มมากขึ้น การทอผ้าไหมซบเซาลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากเส้นไหมมีราคาแพงและหาซื้อยาก แต่ชาวมุสลิมบ้านพุมเรียงก็ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันโดยจะรับจ้างทอผ้าให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ด้วยกี่กระตุก ได้ค่าจ้างเป็นรายเดือนบ้างรายชิ้นบ้าง ตามความสามารถของผู้ทอ
วัฒนธรรมการทอผ้าไหม ของชาวพุมเรียงต่างจากการทอผ้าไหมของชาวอีสานในกรณีชาวอีสานจะมีการปลูกหม่อน เพื่อนำใบไปเลี้ยงไหม ได้รังไหมแล้วก็นำไปสาวเอาเส้นไหมไปทอผ้า แต่ที่พุมเรียงไม่มีการเลี้ยงไหม จึงต้องสั่งซื้อเส้นไหมจากอีสานจากอำเภอละแม จังหวัดชุมพร และไหมจากประเทศจีน แล้วนำมาฟอกย้อมและทอเป็นผืนผ้าที่พุมเรียง
ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมพุมเรียง มีทั้งผ้าไหมยกดอกทอด้วย หูกโบราณ หรือกี่พื้นบ้านได้แก่ ผ้ายกชุดหน้านาง ผ้ายกชุดฝรั่ง ผ้ายกเฉพาะเชิง เป็นต้น มีทั้งประเภทใช้ไหมทั้งหมด ยกด้วยไหมลายซ้อน 2-5 สี และอีกประเภทใช้ไหม 90 % แล้วยกด้วยดิ้นเงิน ดิ้นทอง ส่วนผ้าไหมพื้น ผ้าไหมซิ่นลายร่วงผ้าไหมตาหมากรุกสลับสี ผ้าสไบ ฯลฯ จะทอด้วยกี่กระตุก ก่อนนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กระเป๋าถือ กรอบรูป ผ้าคลุมผม ผ้ารองจาน ดอกไม้ประดิษฐ์ เป็นต้น
การจำหน่าย ร้านผ้าไหมพุมเรียงมีอยู่หลายร้าน ทั้งร้านเล็กๆ คูหาเดียวและร้านใหญ่หลายคูหา พร้อมมีโรงงานทอผ้าขนาดย่อมๆ อยู่หลังร้าน ตั้งอยู่สองฝั่งถนนใจกลางบ้านพุมเรียง มีทั้งการขายปลีกและขายส่ง ในหนึ่งรอบปีจะขายดีในเดือน ตุลาคม-มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแต่งงานกันมาก และเป็นเทศกาลปีใหม่ ผ้าไหมพุมเรียงมีการสั่งไปจำหน่ายที่กรุงเทพฯ หาดใหญ่ และสิงคโปร์ เป็นหลัก บางร้านจะมีการจำหน่ายวัตถุโบราณสมัยศรีวิชัยด้วย ไม่ซื้อก็เดินชมเป็นอาหารตา ทุกร้านจะต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง เนื่องจากลูกค้าไม่มาก มีเวลาโอภาปราศรัยกับลูกค้า เช่นเดียวกับผมและคณะหลังเพียงจะแวะไปดูผ้าไหมพุมเรียงอย่างเดียว แต่เมื่อได้สนทนากับผู้ประกอบการแล้วก็อดจะคิดถึงและเขียนถึงผ้าไหมพุมเรียงเสียมิได้ ถ้าจะซื้อผ้าไหมพุมเรียงดังที่กล่าวข้างต้น จะได้ทั้งความภาคภูมิใจที่ได้ผ้าไหมลวดลายและการทอที่สั่งสมมาของบรรพชนตั้งแต่ในอดีตของชาวไทยมุสลิม แต่ถ้าไม่เลือกให้ดี ท่านก็มีสิทธิ์ซื้อผ้าไหมของชาวไทยอีสานกลับมา
บรรณานุกรม
สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอไชยา. 2544. หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ผ้าไหมพุมเรียง. 26 หน้า
ไม่มีความเห็น