ประชาสัมพันธ์มักหนีไม่พ้นกับการที่ต้องทำหน้าที่พิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการในโอกาสที่หน่วยงานมีกิจกรรมต่างๆ
การเป็นพิธีกรควรต้องมีการเตรียมตัว ศึกษาข้อมูล ลำดับขั้นตอนพิธีการมีการซักซ้อมกับทีมงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจ
การเป็นพิธีกรคู่ ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายที่สามารถพูดได้มากกว่าจนกลายเป็นพูดอยู่คนเดียวจะเป็นผู้ที่โดดเด่น หรือเก่งกว่า ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นเพียงลูกคู่ได้แต่คอยรับคำ “ค่ะ” “ครับ” เหมือนกับมายืนเป็นเพื่อนหรือตัวประกอบอยู่บนเวทีเท่านั้น
การเป็นพิธีกรคู่คือการทำงานที่มีการประสานกันแบบเป็นทีม ต้องรู้จักการแบ่งหน้าที่ ต้องมีลูกรับ ลูกส่ง ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดอยู่คนเดียว หรือ พูดกันอยู่แค่สองคน พูดยาว...จนผู้ชม ผู้ฟังรู้สึกเบื่อ พอถึงบทเงียบก็เงียบกันไปทั้งคู่เสียเฉย ๆ (แย่งกันเงียบ!!!)
แต่ถึงกระนั้น ในการเป็นพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการ ต่อให้เราทำการบ้าน ศึกษาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับงาน เตรียมบท เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่พอถึงเวลาที่ต้องไปยืนอยู่หน้าเวทีหรือต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก บางครั้งก็มักจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือมีเหตุการณ์ที่เราต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าโดยฉับพลันอยู่เสมอซึ่งไม่มีอยู่ในบทและเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกสอนกันได้ด้วยตำราหรือสูตรสำเร็จ ที่ตายตัว แต่ต้องอาศัยไหวพริบ การตัดสินใจในการรู้จักแก้ไขสถานการณ์ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงความผิดพลาดหรือรู้สึกได้น้อยที่สุด
หน้าที่ของพิธีกรไม่ได้ให้ขึ้นไปยืนอวดความสวยหรืออวดความหล่อ การที่มีรูปร่างหน้าตาสวย หล่อ นับว่าเป็นผู้ที่มี “ทุนเดิม” มาดี
แต่การเป็นพิธีกรได้ กับการเป็นพิธีกรที่ดีนั้นมีความต่างกัน และหากมีทุนมาดี แต่ไม่มีคุณสมบัติอื่นเพิ่มเติม ทุนเดิมที่มีมาก็จะดูด้อยลงไปทันที
“พูดได้” กับ “พูดดี” ก็มีความต่างกัน
พูดได้ แต่เมื่อพูดแล้วประทับใจผู้ฟังหรือไม่
หากพูดแล้วผู้ฟังรู้สึกประทับใจ นับว่า “พูดดี” “พูดเป็น”