เป็นบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ พอดีมีอาจารย์ที่เคารพส่งเมล์มาให้ ลองอ่านดูครับ
วิกฤตอุดมศึกษาไทย
โดย วินัย อาจคงหาญ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัญหาในวงการอุดมศึกษาที่เพิ่งผ่านพ้นไปในปีนี้คือกระบวนการรับเข้าของมหาวิทยาลัย ที่ทำให้นักเรียน พ่อแม่ผู้ปกครองกังวลใจไม่แพ้กัน ซึ่งแม้ปัญหาจะเพิ่งผ่านพ้นไป แต่ปีหน้าก็ต้องเผชิญกันใหม่ ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในวัยที่กำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย อาจถือเป็นโชคร้ายที่ต้องพบเจอความเครียดมากเป็นพิเศษ
ความพยายามในการแก้ปัญหาการสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังคงมีต่อไป แต่พัฒนาการของการแก้ปัญหา "แพ้คัดออก" ยังไม่ได้ก้าวไปเท่าไหร่นัก ตราบเท่าที่กระบวนการวัดผลยังคงผูกยึดกับความสามารถทางวิชาการ (ที่ยังคงวัดได้แค่ความจำ ความเข้าใจ) การแก้ปัญหาการเรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลังก็ยังมีอยู่ให้เห็น
ผู้ชนะได้เข้าเรียนในสถานศึกษาที่พอใจมากหรือพอใจน้อย ในสาขาที่ชอบมาก ชอบน้อยจนถึงไม่ชอบแต่จำเป็นต้องเรียนเพราะสอบได้อย่างนั้น
สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยต้องตระหนักคือการอบรมกล่อมเกลาผู้เรียนให้เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ และเป็นผู้นำในสังคมได้
แต่ปัญหาใหญ่ที่มหาวิทยาลัยภาครัฐประสบปัญหาเดียวกันคือการได้มาซึ่งผู้บริหาร
ที่ปรากฏเป็นข่าวครึกโครมคือคดีฟ้องร้องของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่ศาลปกครองตัดสินว่าการได้มาซึ่งอธิการบดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีของมหาวิทยาลัยสารคามที่ถูกระงับการสรรหาอธิการบดี เนื่องจากกรรมการสภามหาวิทยาลัยหลายคนไม่มีคุณสมบัติในการเลือกอธิการบดี
รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างอธิการบดีและสภามหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยศิลปากร
แม้ทุกมหาวิทยาลัยพยายามทำให้เรื่องราวต่างๆ เป็นปัญหาภายใน ไม่อยากให้รั่วไหลสู่สาธารณะเพราะเกรงว่าจะเสียชื่อเสียงของสถาบัน แต่แรงปะทุของปัญหาที่มีมากทำให้ไม่สามารถรักษาปัญหาให้เป็นเรื่องภายในอีกต่อไป
เมื่อหันไปดูมหาวิทยาลัยอื่นๆ จะพบว่าแท้จริงแล้วทุกมหาวิทยาลัยมีปัญหาแบบเดียวกัน เพราะกระบวนการได้มาซึ่งผู้บริหารเปลี่ยนเป็นระบบการเลือกตั้งทางอ้อม (ที่เรียกว่าการสรรหา) ทั้งสิ้น
กระบวนการนี้พัฒนามาจากการเลือกตั้งทางตรงแบบเดิมที่เคยมีปัญหา การสัญญาจะให้ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับปัญหาของประเทศ วิธีการสรรหาจึงนำมาใช้ตามแบบหลายมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
การสรรหามีฐานความเชื่อมาจากการไว้วางใจในผู้ทรงคุณวุฒิที่จะคิด พิจารณาอย่างรอบคอบและรอบด้านในการได้มาซึ่งผู้บริหารที่มีความรู้ ความสามารถในการบริหารมหาวิทยาลัยให้ไปสู่อุดมคติคือความเป็นเลิศทางวิชาการ
แต่อนิจจา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับพบการสืบทอดอำนาจในการบริหารผ่านกลไกการคัดสรรกรรมการสภามหาวิทยาลัยเพื่อไปเลือกอธิการบดี
บางมหาวิทยาลัยผู้บริหารใช้อำนาจในการแต่งตั้งกรรมการสภาจำนวนมาก ซึ่งประชาคมในมหาวิทยาลัยเชื่อว่ามีการบล็อคโหวตแม้ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด
บางมหาวิทยาลัยกลายเป็นว่ามติของกรรมการสภาคือเสียงสวรรค์ในการตัดสินเลือกผู้บริหารโดยไม่สนใจเสียงประชาคม
น่าแปลกที่การเลือกตั้งในระดับประเทศยังสามารถใช้การเลือกตั้งทางตรง แม้จะเผชิญกับสารพัดปัญหา ทั้งการซื้อสิทธิขายเสียง การสัญญาจะให้สารพัด แต่รัฐยังเลือกกระบวนการให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้พัฒนาการของการเมืองไทยดีขึ้น
แต่พัฒนาการเลือกตั้งผู้บริหารของมหาวิทยาลัยกลับเชื่อถือประชาคมในมหาวิทยาลัยน้อยกว่าผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งๆ ที่ประชากรในมหาวิทยาลัยล้วนแต่เป็นผู้ที่ความรู้ดี สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในการแถลงนโยบาย ตลอดจนสามารถตรวจสอบการบริหารจัดการได้โดยง่าย
การคัดสรรผู้บริหารมหาวิทยาลัยจึงเทียบไม่ได้กับการเลือก อบต.ที่ให้ความเชื่อถือกับประชาชนมากกว่า
กล่าวได้ว่าบรรยากาศของการได้มาซึ่งผู้บริหารมหาวิทยาลัย (โดยเฉพาะในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ) ติดบ่วงเดียวกันคือวงจรอุบาทว์ในการสืบทอดอำนาจ แล้วจะหวังอะไรกับการบริหาร มหาวิทยาลัยว่าจะยุติธรรม โปร่งใส รวมไปถึงการนำพามหาวิทยาลัยไปสู่อุดมคติ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องคืนอำนาจการเลือกผู้บริหารให้กับประชาคมที่ถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญในมหาวิทยาลัย เพราะพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้ร่วมพัฒนามหาวิทยาลัย โดยในโลกของการมีส่วนร่วมซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารงานแบบธรรมาภิบาล
หากปัญหาการสรรหาผู้บริหารยังเป็นแบบเดิมเชื่อได้เลยว่ายากที่จะพัฒนามหาวิทยาลัย การออกนอกระบบราชการที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ อันมีนัยเพื่อนำพามหาวิทยาลัยไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการไม่มีวันที่จะเป็นจริงไปได้หากแต่เป็นการพัฒนาที่ถดถอยยิ่งกว่าระบบราชการเดิม เพราะแนวโน้มการใช้อำนาจจะมีเพิ่มขึ้น
ถึงเวลาปลดแอกมหาวิทยาลัยไทยแล้วหรือยัง
เรียนคุณ ชีวิตเพื่อสาธารณะ ที่เคารพ
วิกฤติ คือ โอกาส ครับ
ขอบคุณครับ
ร่วมปฎิวัติการศึกษาเพื่อความเป็นไท