พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยตรัสถึงเรื่องการเมืองโดยเน้นไปยัง
บทบาทของผู้นำทางการเมืองเอาไว้ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาที่พระราชา(=ผู้นำทางการเมือง)
ไม่ตั้งอยู่ในธรรม แม้พวกข้าราชการก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
แม้พราหมณ์และคหบดี(=ชนชั้นนำและชนชั้นกลางนักธุรกิจ)
ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เเม้ชาวนิคม(ชาวเมือง)และชาวชนบท
(ประชาชนทั่วไป)ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม...
ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาที่พระราชาตั้งอยู่ในธรรม แม้พวก
ข้าราชการ ก็ตั้งอยู่ในธรรม แม้พราหมณ์และคหบดี..
แม้ชาวนิคมและชาวชนบทก็ตั้งอยู่ในธรรม..
หากพระราชา(ผู้นำ)ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ชาวเมืองก็เป็นทุกข์
หากพระพระราชา(ผู้นำ)ตั้งอยู่ในธรรม ชาวเมืองก็เป็นสุข
ท่านพุทธทาสเคยกล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องมีธรรมะในการเมืองว่า
"ธรรมะกับการเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไหร่
การเมืองก็เป็นเรื่องทำลายโลกขึ้นมาทันที"
พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)เคยกล่าวถึงการเมืองกับธรรมะว่า
"คนที่ถือธรรมเป็นใหญ่ และยอมให้แก่ธรรมนั้นเรียกเป็นคำศัพท์ว่า
ธรรมาธิปไตย คนในสังคมประชาธิปไตยแต่ละคนจะต้องเป็นธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ ยกธงธรรมขึ้นนำหน้า เอาธรรมเป็นตราชู.."
มหาตมะ คานธี ยืนยันว่าการเมืองเป็นเรื่องของธรรมะดังความตอน หนึ่งว่า
"ผู้ที่ที่พูดว่า ศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมืองนั้น เป็นผู้ที่ไม่ทราบ
ความหมายของคำว่า..ศาสนา..สำหรับข้าพเจ้า การเมืองที่ปราศจากหลักธรรมทางศาสนา เป็นเรื่องของความโสมมที่ควร
สละละทิ้งเสียเป็นอย่างยิ่ง การเมืองเป็นเรื่องของประเทศชาติ
และเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพของประเทศชาตินั้น(ดังนั้นการเมือง) ต้องเป็นเรื่องของผู้มีศีลธรรมประจำใจ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องนำเอาศาสนจักรไปสถาปนาไว้ในวงการเมืองด้วย"
_/!\_ปราชญ์จะไม่สร้างอำนาจให้แก่ตนจนคนกลัว
ไม่กล้าติไม่กล้าท้วง..ส่วนผู้แค่ฉลาด(เฉโก)จะสร้างอำนาจ
ให้แก่ตนจนคนกลัวไม่กล้าติไม่กล้าท้วง..._/!\_
ไม่มีความเห็น