บนถนนคนเพลินงาน
เธอเหลือทน ละทิ้งอย่างจริงแท้!
ต่อความหวัง และแม้แต่ความหมาย
กลับโรยอ่อนระอาว่าละอาย...
เหตุใดหน่วงนักกาย หน่ายนักใจ
แหงนมองสิ สว่างไสวไต่ภาระ
ตึกสูง กับภาระกระจกใส
เขาผิวปากฝากกลืนกับคลื่นไกล
เสียงผิวปากฝากไป ฝนไขว่คว้า
กายภาพผ่าวเมือง---เคืองควันหม่น
จินตภาพแผ่วปนดนตรีป่า....
เช็ดสีสวยเหมือนใจ ใสเหมือนฟ้า
เช็ดและฉีดน้ำยา ชั่วนาตาปี
จันทร์กะพ้อ พ้อรักแห่งจักจั่น
ซากุระ รุ้งนั้นพลันจากสี
หลากแผ่นเสียงเพลงเก่าเฝ้าชวนชี้
...กิจการร้านนี้ไม่ดีนัก
แต่ยิ้มสวยหญิงสาวสดพราวสะพรั่ง
อิ่มเพลงนั่นเองพลัง ยังปักหลัก
ชวนฝันจันทร์กะพ้อ เชิญพ้อรัก
ย่อมมีสักมนต์สื่อ --- สักมือคว้า
หันดูสิ เสื้อใหม่ในห้องอับ
เครื่องจักรคราบจับ และพับผ้า
ริ้วด้ายดังรุม กลุ่มลูกค้า
...หลังค้อมต่ำ นัยน์ตาเริ่มฝ้าฟาง
ตัดเย็บประณีตเหนื่อยแสนเหนื่อยหาย!
มีหมุดหมายเฉิดฉายสบายช่าง
งานดีมีรางวัล--- จันทร์ทอวาง...
เบียร์รสเบา เรือบางลอยกลางบึง
ที่ร้านถ่ายรูป ลมจูบภาพ
พบรอยลมเก่าทาบ ซาบซึ้งถึง
อีกเดี๋ยวลมใหม่กว่ามารำพึง
‘รูป’ คนหนึ่งยาวนานเหนือ ‘กาล’ คน
เจ้าของ ‘มอง’ ลมที่พรมพัด
ข่าวแห่งความคมชัดสะพัดถนน
เขาภาคภูมิฝีมือ---นับถือตน
อัดล้างบนปรารถนาดี ทีละใบ
เธอจะละทิ้งอย่างจริงแท้
หมดสิ้นแม้ ‘บางสิ่ง’ แท้จริงไหม
เปี่ยมเต็มลึกกว้างอย่างไรใจ
เบื่อชีวิตได้อย่างไรกัน!
ประกาย ปรัชญา
จาก “เดินเคียงฉัน”ไม่มีความเห็น