อนุทิน 134408


Suwanna Jongrak
เขียนเมื่อ

“ความรัก ความสุข ความทรงจำ”

ปีใหม่ 2557

 

            ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำความดีได้ ในที่สุดวันที่ตัวดิฉันรอคอยก็มาถึง คือเช้าวันศุกร์ ที่ 27 ธันวาคม 56 หลังจากจัดรายการวิทยุเสร็จตอน 7 โมงเช้า ก็ไปขึ้นรถโดยสารที่บขส.ภูเก็ต  เพื่อมุ่งหน้าตรงสู่จังหวัดชุมพร เพื่อกลับบ้านเกิดไปเยี่ยม พ่อ แม่ พี่ น้อง และลูกๆ ผู้ซึ่งเป็นทั้งชีวิตและจิตใจของดิฉัน ดิฉันไม่เสียใจเลยที่ไม่ได้อยู่ร่วมฉลองปีใหม่กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆหรือคนพิเศษ (บางเวลา) เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าที่สุด คือ ครอบครัวซึ่งเป็นที่รัก แม้ดิฉันจะกลับไปบ้านที่ไม่มีแสง สี เสียง ให้สนุกครึกครื้น เหมือนกับที่ภูเก็ต แต่มันก็เป็นบ้านนอกที่สงบเงียบ สบายใจ ไม่มีเสียงรถให้ได้ยิน ไม่มีเสียงวุ่นวาย ได้ยินแต่เสียงนกร้อง เสียงหิ่งห้อย เสียงไก่ขัน รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้อยู่อีกโลกหนึ่งเลย ก็ถือได้ว่าอรรถรสอีกอย่างหนึ่ง

          ดิฉันใช้เวลาในการที่อยู่บนรถประมาณ 6 ชั่วโมง ดิฉันนั่งรถได้แค่อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มองดูเบอร์โทรศัพท์เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเลย ไม่ค่อยอยากจะรับ แต่ไม่รู้มีสิ่งอะไรมาดลใจให้รับ พอรับถึงเป็นเสียงผู้หญิงเขาแนะนำตัวเองว่า ตัวเองเป็นผอ.ร.ร.ที่ลูกชายเรียนหนังสืออยู่ พอได้ยินแค่ผอ.แนะนำตัวเท่านั้นแหละหัวใจของดิฉันมันก็หล่นลงมาที่ตาตุ้มแล้ว เพราะคิดแล้วว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับลูกชายแน่นอน สิ่งแรก ผอ.ท่านก็ถามว่าลูกชายเล่าอะไรให้ฟังบ้างหรือเปล่า ดิฉันก็บอกว่าไม่เลย ท่านผอ.ก็เริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวลูกชายให้ฟัง แต่ใครจะไปรู้ว่าหัวอกของคนเป็นแม่ แค่ได้ฟังว่าลูกชายฉี่เป็นสีม่วง หัวใจมันแทบสลายแล้ว มือสั่น คิดไม่ออก บอกใครไม่ได้ ดิฉันรู้สึกวูบไปชั่วขณะ สมองหยุดคิดชั่วขณะ ขนาดพ่อกับแม่ดิฉันเองยังไม่กล้าบอกท่านทั้งสองเลย ไม่รู้ว่าตัวเองจะแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นอย่างไร ยังนึกไม่ออก ได้แต่ภาวนาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องผ่านไปได้ด้วยดี และตัวดิฉันเองที่ต้องแก้ไขปัญหาให้ได้

          ดิฉันคิดว่าปีใหม่นี้มันคงมีอะไรที่ดีๆเกิดขึ้นกับตัวดิฉันบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นสิ่งแรกมันทำให้ตัวดิฉันรู้สึกล้า เพราะไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เรื่องแบบนี้ไปบอกใครๆไปก็เท่ากับประจานตัวลูกชายตัวเอง ในเมื่อเขาเกิดมาเป็นลูกของเราแล้ว ถึงเขาจะดี จะเลวอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังขึ้นชื่อว่า เป็นลูกของเราอยู่วันยังค่ำ

          ดิฉันถึงชุมพรประมาณ 3 โมงเย็น ก็เลยไปรับลูกๆที่โรงเรียนกลับบ้านพร้อมกัน ระยะทาง 30 กิโลเมตรกับทางเข้าบ้านที่เป็นทางลูกรัง ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง กว่าจะถึงบ้าน พอถึงบ้านก็ทำหน้าที่ของคนที่เป็นลูกที่ดีต่อ คือ การที่ต้องช่วยพ่อกับแม่เก็บกาแฟที่ตากไว้เต็มลาน ทุกคนต้องช่วยกันเพราะมันเป็นอาชีพที่เราต้องทำ ถึงมันจะไม่เป็นอาชีพที่เลิศหรู มีหน้ามีตา แต่มันก็เป็นอาชีพที่พ่อแม่เราทำกันมานาน เลี้ยงลูกทุกคนด้วยอาชีพที่สุจริต มันก็เป็นอาชีพที่ดิฉันภูมิใจมาก ไม่คิดที่จะทิ้งอาชีพที่พ่อกับแม่รัก คิดว่าตัวเองก็ต้องสานต่อกับอาชีพที่พ่อแม่รัก ดิฉันกลับไปอยู่บ้าน 3 วัน มันเป็นอะไรที่นานมาก เพราะอากาศที่ชุมพรมันหนาว จนทนแทบไม่ไหว (เหมือนอยากจะกลับภูเก็ตเลย) ดิฉันคิดว่าขนาดชุมพรหนาวขนาดนี้แล้ว ทางภาคเหนือจะหนาวขนาดไหน ไม่กล้าคิดเลยแหละ

         ช่วงระยะเวลา 3 วัน ที่ได้อยู่กับครอบครัวมันช่างเป็นเวลาที่มีความสุขมากจนบรรยายให้ผู้อื่นรับรู้ไม่ได้เลย ดิฉันได้อยู่กับลูกๆ ได้ทำภารกิจร่วมกัน ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้ให้คำแนะนำสิ่งที่ดีๆกับลูกของดิฉันทั้ง 2 คน แม้ตัวดิฉันจะต้องเหนื่อยกับงานที่ต้องช่วยพ่อกับแม่ตากกาแฟ เราตื่นทำภารกิจ คือ ตากกาแฟตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึงเวลา 11 โมง กว่าจะเสร็จก็เหนื่อยไปตามๆกัน หลังจากตากกาแฟเสร็จ เราได้พักผ่อนแค่ไม่กี่ชั่วโมง ประมาณ 4 โมงเย็น ก็ต้องเก็บกาแฟที่ตากอยู่บนลานใส่กระสอบเพื่อรอสี แล้วก็ไปขายให้กับพ่อค้าคนกลาง จนกระทั่งมืด คือ งานเสร็จตอนไหน ก็ตอนนั้นได้หยุดพัก ภารกิจในแต่ละวันที่ตัวดิฉันได้ใช้เวลาช่วง 3 วันที่อยู่บ้าน แต่ไม่เลยความลำบากแค่ตัวดิฉันได้รับแค่ไม่กี่วัน มันเป็นแค่เศษเสี้ยวที่พ่อกับแม่ทำอยู่ไม่ได้เลย ท่านต้องใช้เวลาแบบนี้นานอยู่ประมาณ 3-4 เดือน กว่าจะเสร็จหน้าเก็บเกี่ยวกาแฟ เพราะกาแฟให้ผลผลิตแค่ปีละ 1 ครั้งเอง ดิฉันเห็นพ่อกับแม่ทำงานหนักสงสารท่านจนไม่รู้จะใช้คำบรรยายแทนอย่างไรดี แต่ท่านก็ทนลำบากเพื่อลูกๆหลานๆและครอบครัวของท่านที่ท่านรัก

          ดิฉันกลับไปบ้านครั้งนี้ สิ่งที่ลืมไม่ได้ ก็คือ ซื้อขนมปีใหม่ไปฝากญาติพี่น้องของแม่ คือ น้องๆของแม่กันทุกบ้าน แต่ส่วนมากถ้าดิฉันได้มีโอกาสกลับไปบ้านที่ชุมพรก็จะมีของฝากติดไม้ติดมือไปฝากทุกครั้ง

          ไม่เคยลืมที่จะซื้อของฝากติดไม้ติดมือแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนพ่อกับแม่ดิฉันจะซื้อของที่ท่านทั้ง 2 ชอบกินไปฝาก เพราะดิฉันจะรู้ดีว่าพ่อชอบกินอะไร ถึงตัวดิฉันไม่มีเงินทองจะให้พ่อกับแม่ แต่ดิฉันไม่เคยลืมที่จะทำหน้าที่ของลูกที่ดีเลย ดิฉันมองแววตาของ พ่อ แม่ และลูก ทำให้ดิฉันรู้สึกได้ว่าทุกคนรอการกลับมาของดิฉันในครั้งนี้ ดิฉันรู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งที่กลับบ้าน ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของพ่อแม่ และลูก ทำให้ดิฉันมีแรงที่จะสู้และดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้ ไม่เคยมีสิ่งไหนที่จะมีค่าไปมากกว่าครอบครัวที่ฉันรัก ในทุกๆวันที่ฉันลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่ดิฉันปรารถนาทุกครั้งคือเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขของทุกคนในครอบครัว แต่ด้วยหน้าที่การงานที่เราต้องรับผิดชอบเป็นตัวกำหนดโชคชะตาให้ตัวดิฉันและครอบครัวไม่ได้อยู่ร่วมกัน และไม่ได้ร่วมทำกิจกรรมด้วยกันมากเท่าไหร่ ดิฉันจึงอาศัยเทศกาลดีๆแบบเทศกาลปีใหม่นี้ ถือโอกาสกลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อ แม่ และแม่ที่ดีของลูก ดิฉันรู้สึกอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้นั่งกินข้าวด้วยกัน ได้ยิ้มให้กัน หัวเราะด้วยกัน และได้ทำอาหารอร่อยๆให้ทุกคนกิน ทุกๆครั้งที่ดิฉันหวนกลับมาเยี่ยมทุกคนที่บ้าน ดิฉันรู้สึกขอบคุณเทศกาลดีๆแบบนี้ที่มอบวันหยุดยาวให้ดิฉันได้ทำหน้าที่มอบความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว  

            นี่แหละคนเราเกิดมาแค่ครั้งเดียว ตายแค่ครั้งเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ครอบครัว เราจงทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ตราบใดที่เรายังตื่นขึ้นมาเห็นแสงตะวันตอนเช้า จงมอบรอยยิ้มให้กับคนรอบๆข้าง และจงให้รางวัลกับตัวเอง สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตดิฉัน คือการทำให้คนรอบข้างของดิฉันมีความสุข “จงพูดเมื่อเรายังมีโอกาสพูด จงทำเมื่อเรายังมีโอกาสทำ” ก่อนที่สุดท้ายมานั่งเสียใจเพราะไม่ได้พูด ไม่ได้ทำ....

 

   



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท