อนุทินล่าสุด


Suwanna Jongrak
เขียนเมื่อ

2 ชั่วโมง กิน เที่ยว เปรี้ยว ในมหาลัยราชภัฏ ภูเก็ต”

 

             บรรยากาศช่วงบ่ายๆของห้องสมุดในรั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พอย่างเท้าเข้าห้องก็ได้กลิ่นหอมของมาม่ามาแตะจมูก ทำให้ตัวดิฉันน้ำลายสอได้เหมือนกัน ทั้งๆที่ตัวเองก็เพิ่งจะกินข้าวเที่ยงมาหยกๆ (อิ่มเปร้)

            สำหรับบรรยากาศในห้องสมุดเงียบมาก แอร์เย็นเข้ามาแล้ว ไม่ใช่ว่าอยากจะอ่านหนังสือนะ แต่บรรยากาศมันทำให้ตัวดิฉันง่วงขึ้นมาจับใจ (อยากนอน) แต่พอเข้ามาแล้วก็ต้องใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดิฉันก็หยิบวารสารวิจัยเพื่อการพัฒนาพื้นที่ขึ้นมาเปิดดู แต่เนื้อหาก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าอ่าน สุดท้ายก็ต้องจบที่หนังสือพิมพ์รายวัน ไม่ว่า จะเป็น เดลินิวส์ ไทยรัฐ มติชน เสียงใต้รายวัน ดิฉันคิดว่าส่วนตัวห้องสมุดมหาวิทยาลัยราชภัฏมีหนังสือที่น่าสนใจมาก ขนาดหนังสือที่เก่าผ่านมาหลายปีแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังเก็บดูแลรักษาได้เป็นอย่างดี แต่เสียดายที่ดิฉันไม่ค่อยมีเวลาว่างมากพอที่จะมาใช้บริการของห้องสมุด นอกเสียจากว่าอาจารย์ประจำวิชาแต่ละวิชาปล่อยให้เข้ามาใช้บริการของห้องสมุดเท่านั้น

            ดิฉันคิดว่า ในสายตาของตัวเองที่มีโอกาสได้มาใช้บริการของห้องสมุดหลายครั้งเหมือนกัน ในการที่จัดมุมห้อง ในการบริการหนังสือแต่ละหมวดหมู่ การแยกประเภทของหนังสือแต่ละชั้น แต่ละประเภท การให้บริการมุมอินเตอร์เน็ต คิดว่าดีนะ เหมาะสมดี ถึงแม้ว่าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ ไม่ได้เป็นห้องสมุดที่ใหญ่โตเหมือนมหาลัยบางแห่ง แต่มันก็เป็นความภาคภูมิใจของนักศึกษา มหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์รวมความรู้ให้นักศึกษาได้เข้ามาค้นคว้าหาความรู้ หรือแม้แต่ใช้ความเงียบสงบของห้องสมุดในการที่จะอ่านหนังสือสอบได้เป็นอย่างดี

            ดิฉันคิดว่าห้องสมุดมหาลัยก็กลายเป็นสถานที่ ที่เที่ยว พักผ่อนหย่อนใจได้ดีอีกที่หนึ่งเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องออกไปหาสถานที่พักผ่อนข้างนอกหรอก เราใช้สิ่งที่เรามีอยู่นี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ก็เท่ากับว่าเราได้ใช้เวลาอันคุ้มค่าที่สุดแล้ว

            เหม! ดิฉันมัวแต่บรรยายในเรื่องของการจัดมุมหนังสือ เลยลืมมุมที่สำคัญไปได้ไงต้องสงสัยแล้วซิว่ามุมอะไร? ก็มุมอาหารไง เข้าห้องสมุดแล้วทุกคนก็ต้องวิ่งเข้าหามุมนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะทางเจ้าหน้าที่เขามีขนม มาม่า ไอศครีมและยังมีน้ำร้อนไว้คอยบริการ สำหรับการต้มมาม่าและกาแฟ สิ่งที่ถูกใจมากที่สุด คือ มีไข่ต้มไว้กินกับมาม่าเป็นการเพิ่มรสชาติอีกแบบหนึ่ง นั่งๆอ่านหนังสือแล้วหิวไปได้เลยมาม่าพร้อมไข่ต้มรองท้อง ถ้าง่วงก็มีกาแฟคลายง่วงได้

            ดิฉันนั่งเขียนงานของอาจารย์ยุพินได้ไม่ทันเสร็จ ก็รู้สึกง่วงนอนมากจนทนไม่ไหว ต้องพึ่งกาแฟ ถึงแม้จะเป็นกาแฟที่รสชาติไม่เอาไหน แต่ก็พอคลายความง่วงได้สักพักหนึ่ง กาแฟอย่างเดียวไม่พอค่ะตามมาด้วยไอศครีม MAGNUM CLASIC เพื่อคลายความร้อนอยากได้มาม่าคัพรสต้มยำกุ้งสักถ้วย แต่ไม่ไหวแล้วพอก่อน เพราะมีน้องๆนักศึกษาเขานั่งกินกัน กลิ่นหอมยั่วน้ำลายเหลือเกิน

            ในสายตาของดิฉันคิดว่า สถานที่เที่ยวที่แพงๆหรูๆมันไม่ได้สำคัญเสมอไป การที่คนเราพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น พอใจในสิ่งที่ตัวเองกระทำถือว่าสำคัญกว่า เช่นเดียวกับที่ตัวดิฉันพอใจในห้องสมุด และมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตแห่งนี้

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Suwanna Jongrak
เขียนเมื่อ

“ความรัก ความสุข ความทรงจำ”

ปีใหม่ 2557

 

            ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำความดีได้ ในที่สุดวันที่ตัวดิฉันรอคอยก็มาถึง คือเช้าวันศุกร์ ที่ 27 ธันวาคม 56 หลังจากจัดรายการวิทยุเสร็จตอน 7 โมงเช้า ก็ไปขึ้นรถโดยสารที่บขส.ภูเก็ต  เพื่อมุ่งหน้าตรงสู่จังหวัดชุมพร เพื่อกลับบ้านเกิดไปเยี่ยม พ่อ แม่ พี่ น้อง และลูกๆ ผู้ซึ่งเป็นทั้งชีวิตและจิตใจของดิฉัน ดิฉันไม่เสียใจเลยที่ไม่ได้อยู่ร่วมฉลองปีใหม่กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆหรือคนพิเศษ (บางเวลา) เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าที่สุด คือ ครอบครัวซึ่งเป็นที่รัก แม้ดิฉันจะกลับไปบ้านที่ไม่มีแสง สี เสียง ให้สนุกครึกครื้น เหมือนกับที่ภูเก็ต แต่มันก็เป็นบ้านนอกที่สงบเงียบ สบายใจ ไม่มีเสียงรถให้ได้ยิน ไม่มีเสียงวุ่นวาย ได้ยินแต่เสียงนกร้อง เสียงหิ่งห้อย เสียงไก่ขัน รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้อยู่อีกโลกหนึ่งเลย ก็ถือได้ว่าอรรถรสอีกอย่างหนึ่ง

          ดิฉันใช้เวลาในการที่อยู่บนรถประมาณ 6 ชั่วโมง ดิฉันนั่งรถได้แค่อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มองดูเบอร์โทรศัพท์เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเลย ไม่ค่อยอยากจะรับ แต่ไม่รู้มีสิ่งอะไรมาดลใจให้รับ พอรับถึงเป็นเสียงผู้หญิงเขาแนะนำตัวเองว่า ตัวเองเป็นผอ.ร.ร.ที่ลูกชายเรียนหนังสืออยู่ พอได้ยินแค่ผอ.แนะนำตัวเท่านั้นแหละหัวใจของดิฉันมันก็หล่นลงมาที่ตาตุ้มแล้ว เพราะคิดแล้วว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับลูกชายแน่นอน สิ่งแรก ผอ.ท่านก็ถามว่าลูกชายเล่าอะไรให้ฟังบ้างหรือเปล่า ดิฉันก็บอกว่าไม่เลย ท่านผอ.ก็เริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวลูกชายให้ฟัง แต่ใครจะไปรู้ว่าหัวอกของคนเป็นแม่ แค่ได้ฟังว่าลูกชายฉี่เป็นสีม่วง หัวใจมันแทบสลายแล้ว มือสั่น คิดไม่ออก บอกใครไม่ได้ ดิฉันรู้สึกวูบไปชั่วขณะ สมองหยุดคิดชั่วขณะ ขนาดพ่อกับแม่ดิฉันเองยังไม่กล้าบอกท่านทั้งสองเลย ไม่รู้ว่าตัวเองจะแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นอย่างไร ยังนึกไม่ออก ได้แต่ภาวนาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องผ่านไปได้ด้วยดี และตัวดิฉันเองที่ต้องแก้ไขปัญหาให้ได้

          ดิฉันคิดว่าปีใหม่นี้มันคงมีอะไรที่ดีๆเกิดขึ้นกับตัวดิฉันบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นสิ่งแรกมันทำให้ตัวดิฉันรู้สึกล้า เพราะไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เรื่องแบบนี้ไปบอกใครๆไปก็เท่ากับประจานตัวลูกชายตัวเอง ในเมื่อเขาเกิดมาเป็นลูกของเราแล้ว ถึงเขาจะดี จะเลวอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังขึ้นชื่อว่า เป็นลูกของเราอยู่วันยังค่ำ

          ดิฉันถึงชุมพรประมาณ 3 โมงเย็น ก็เลยไปรับลูกๆที่โรงเรียนกลับบ้านพร้อมกัน ระยะทาง 30 กิโลเมตรกับทางเข้าบ้านที่เป็นทางลูกรัง ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง กว่าจะถึงบ้าน พอถึงบ้านก็ทำหน้าที่ของคนที่เป็นลูกที่ดีต่อ คือ การที่ต้องช่วยพ่อกับแม่เก็บกาแฟที่ตากไว้เต็มลาน ทุกคนต้องช่วยกันเพราะมันเป็นอาชีพที่เราต้องทำ ถึงมันจะไม่เป็นอาชีพที่เลิศหรู มีหน้ามีตา แต่มันก็เป็นอาชีพที่พ่อแม่เราทำกันมานาน เลี้ยงลูกทุกคนด้วยอาชีพที่สุจริต มันก็เป็นอาชีพที่ดิฉันภูมิใจมาก ไม่คิดที่จะทิ้งอาชีพที่พ่อกับแม่รัก คิดว่าตัวเองก็ต้องสานต่อกับอาชีพที่พ่อแม่รัก ดิฉันกลับไปอยู่บ้าน 3 วัน มันเป็นอะไรที่นานมาก เพราะอากาศที่ชุมพรมันหนาว จนทนแทบไม่ไหว (เหมือนอยากจะกลับภูเก็ตเลย) ดิฉันคิดว่าขนาดชุมพรหนาวขนาดนี้แล้ว ทางภาคเหนือจะหนาวขนาดไหน ไม่กล้าคิดเลยแหละ

         ช่วงระยะเวลา 3 วัน ที่ได้อยู่กับครอบครัวมันช่างเป็นเวลาที่มีความสุขมากจนบรรยายให้ผู้อื่นรับรู้ไม่ได้เลย ดิฉันได้อยู่กับลูกๆ ได้ทำภารกิจร่วมกัน ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้ให้คำแนะนำสิ่งที่ดีๆกับลูกของดิฉันทั้ง 2 คน แม้ตัวดิฉันจะต้องเหนื่อยกับงานที่ต้องช่วยพ่อกับแม่ตากกาแฟ เราตื่นทำภารกิจ คือ ตากกาแฟตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึงเวลา 11 โมง กว่าจะเสร็จก็เหนื่อยไปตามๆกัน หลังจากตากกาแฟเสร็จ เราได้พักผ่อนแค่ไม่กี่ชั่วโมง ประมาณ 4 โมงเย็น ก็ต้องเก็บกาแฟที่ตากอยู่บนลานใส่กระสอบเพื่อรอสี แล้วก็ไปขายให้กับพ่อค้าคนกลาง จนกระทั่งมืด คือ งานเสร็จตอนไหน ก็ตอนนั้นได้หยุดพัก ภารกิจในแต่ละวันที่ตัวดิฉันได้ใช้เวลาช่วง 3 วันที่อยู่บ้าน แต่ไม่เลยความลำบากแค่ตัวดิฉันได้รับแค่ไม่กี่วัน มันเป็นแค่เศษเสี้ยวที่พ่อกับแม่ทำอยู่ไม่ได้เลย ท่านต้องใช้เวลาแบบนี้นานอยู่ประมาณ 3-4 เดือน กว่าจะเสร็จหน้าเก็บเกี่ยวกาแฟ เพราะกาแฟให้ผลผลิตแค่ปีละ 1 ครั้งเอง ดิฉันเห็นพ่อกับแม่ทำงานหนักสงสารท่านจนไม่รู้จะใช้คำบรรยายแทนอย่างไรดี แต่ท่านก็ทนลำบากเพื่อลูกๆหลานๆและครอบครัวของท่านที่ท่านรัก

          ดิฉันกลับไปบ้านครั้งนี้ สิ่งที่ลืมไม่ได้ ก็คือ ซื้อขนมปีใหม่ไปฝากญาติพี่น้องของแม่ คือ น้องๆของแม่กันทุกบ้าน แต่ส่วนมากถ้าดิฉันได้มีโอกาสกลับไปบ้านที่ชุมพรก็จะมีของฝากติดไม้ติดมือไปฝากทุกครั้ง

          ไม่เคยลืมที่จะซื้อของฝากติดไม้ติดมือแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนพ่อกับแม่ดิฉันจะซื้อของที่ท่านทั้ง 2 ชอบกินไปฝาก เพราะดิฉันจะรู้ดีว่าพ่อชอบกินอะไร ถึงตัวดิฉันไม่มีเงินทองจะให้พ่อกับแม่ แต่ดิฉันไม่เคยลืมที่จะทำหน้าที่ของลูกที่ดีเลย ดิฉันมองแววตาของ พ่อ แม่ และลูก ทำให้ดิฉันรู้สึกได้ว่าทุกคนรอการกลับมาของดิฉันในครั้งนี้ ดิฉันรู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งที่กลับบ้าน ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของพ่อแม่ และลูก ทำให้ดิฉันมีแรงที่จะสู้และดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้ ไม่เคยมีสิ่งไหนที่จะมีค่าไปมากกว่าครอบครัวที่ฉันรัก ในทุกๆวันที่ฉันลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่ดิฉันปรารถนาทุกครั้งคือเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขของทุกคนในครอบครัว แต่ด้วยหน้าที่การงานที่เราต้องรับผิดชอบเป็นตัวกำหนดโชคชะตาให้ตัวดิฉันและครอบครัวไม่ได้อยู่ร่วมกัน และไม่ได้ร่วมทำกิจกรรมด้วยกันมากเท่าไหร่ ดิฉันจึงอาศัยเทศกาลดีๆแบบเทศกาลปีใหม่นี้ ถือโอกาสกลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อ แม่ และแม่ที่ดีของลูก ดิฉันรู้สึกอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้นั่งกินข้าวด้วยกัน ได้ยิ้มให้กัน หัวเราะด้วยกัน และได้ทำอาหารอร่อยๆให้ทุกคนกิน ทุกๆครั้งที่ดิฉันหวนกลับมาเยี่ยมทุกคนที่บ้าน ดิฉันรู้สึกขอบคุณเทศกาลดีๆแบบนี้ที่มอบวันหยุดยาวให้ดิฉันได้ทำหน้าที่มอบความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว  

            นี่แหละคนเราเกิดมาแค่ครั้งเดียว ตายแค่ครั้งเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ครอบครัว เราจงทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ตราบใดที่เรายังตื่นขึ้นมาเห็นแสงตะวันตอนเช้า จงมอบรอยยิ้มให้กับคนรอบๆข้าง และจงให้รางวัลกับตัวเอง สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตดิฉัน คือการทำให้คนรอบข้างของดิฉันมีความสุข “จงพูดเมื่อเรายังมีโอกาสพูด จงทำเมื่อเรายังมีโอกาสทำ” ก่อนที่สุดท้ายมานั่งเสียใจเพราะไม่ได้พูด ไม่ได้ทำ....

 

   



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Suwanna Jongrak
เขียนเมื่อ

One Fine Dayวันสบายๆ

คลายร้อนกับเหยื่ยวข่าวสาว

 

          วันสบายๆกับเหยี่ยวข่าวสาว (เครียด) ตอนแรกก็วางแผนที่จะพาทุกคนไปเที่ยว กิน พักผ่อนกับวันสบายๆเพื่อหลีกหนีเหตุการณ์ที่กำลังวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยของเรา และตอนนี้ความวุ่นวายมันก็เกิดขึ้นกับจังหวัดภูเก็ตแล้ว เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณ มีทั่วทั้งแผ่นดินแล้วตอนนี้เราจะเห็นไม่ว่าจะเปิดทีวีช่องไหน ก็จะเห็นแต่ข่าวของผู้ชุมนุมที่มีการโจมตีฝั่งตรงข้ามซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนก็คิดว่าฝ่ายตัวเองดีกันทั้งนั้น (ไม่มีใครว่าตัวเองไม่ดีหรอกน่ะ)  แต่นั่นแหละ พวกคุณไม่คิดบ้างหรือว่าจะทำให้บ้านเมืองเกิดผลกระทบอะไรกันบ้าง พวกคุณมัวแต่คิดที่จะหาผลประโยชน์ใส่ตัวเองไม่ได้ใส่ใจใยดีเลยว่าบ้านเมือง เดือดร้อนแค่ไหน ฉันในฐานะประชาชนคนหนึ่ง แถมเป็นเลือดคนใต้เต็มตัว ไม่ได้คิดเข้าข้างฝ่ายไหนน่ะ แต่อยากเห็นให้ทุกคนที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชน เข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการบริหารประเทศ ไม่ใช่ว่าคุณเป็นตัวแทนชาวบ้านแล้ว เข้าไปเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวอย่างเดียว โกงกินน่ะมันมี ไม่มีรัฐบาลไหนหรอกที่ไม่โกงกิน แต่อยู่ที่ว่าจะกินมากน้อยแค่ไหน  พวกคุณไม่คิดที่จะทำประโยชน์ให้กับบ้านเกิดเมืองนอนที่พวกคุณอาศัยเลยหรือ

 

          การทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวในช่วงที่มีเหตุการณ์บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงที่วุ่นวายเหลือเกิน ตัวเองต้องอยู่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าศาลากลาง เพื่อที่จะอยู่สังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจังหวัดภูเก็ตของเรา เหตุการณ์มันเริ่มตั้งแต่เช้าวันพุธที่ 27 พ.ย.ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่สนามชัย ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามศาลากลาง (แต่เหตุการณ์ชุมนุมมีมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว) หลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนย้ายเข้ามายังตัวศาลากลาง เพื่อที่จะมามอบช่อดอกไม้ให้กับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต (นายไมตรี อินทุสุต)แต่ช่วงนั้นท่านผู้ว่าฯท่านติดภารกิจอยู่ข้างนอก มันเลยทำให้ท่านมารับช่อดอกไม้ช้า (ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมบางคนเริ่มมีอาการที่ไม่พอใจ) หลังจากนั้นท่านลงมารับช่อดอกไม้และได้มีการปราศรัยกับกลุ่มผู้ชุมนุม(แต่ท่านคงจะพูดไม่เข้าหู) ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมบางคนเกิดความไม่พอใจขึ้น เลยเกิดการกรูเข้าหาท่านผู้ว่าฯมีการเป่านกหวีดและตะโกนบอกว่าท่านผู้ว่าฯออกไป ๆ ทางอส.ต้องรีบกันท่านผู้ว่าฯขึ้นตึกเพื่อความปลอดภัย

          ช่วงจังหวะนั้นดิฉันมองหน้าท่านผู้ว่าไม่ละสายตาเลย เลยรู้ได้จากสายตาและสีหน้าของท่านว่า ช่วงนั้นท่านคงตกใจมาก (ดิฉันสงสารท่านผู้ว่าฯจับใจเลย) เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมก็มีการบุกขึ้นบนศาลากลางเพื่อเชิญให้ข้าราชการที่ทำงานอยู่ในศาลากลางออกจากศาลากลางทั้งหมด ช่วงนั้นดิฉันก็มีโอกาสได้ขึ้นไปบนศาลากลางชั้น 2 กับพวกชุมนุม พวกเขาเดินดูทุกห้อง ว่ามีคนทำงานอยู่หรือเปล่า จนเดินไปห้องสุดท้าย ซึ่งเป็นห้องของรอง สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าฯ เพื่อเชิญให้ท่านรองออกไปจากศาลากลาง ท่านรองก็ทำตามที่พวกชุมนุมขอน่ะ โดยไม่ได้ขัดขืนอะไรเลย แต่จังหวะนั้นดิฉันเห็นสีหน้าของท่านรองฯแล้ว (คิดว่าท่านรองฯคงไม่พอใจสักเท่าไหร่)กลุ่มผู้ชุมนุมก็เดินทางไปตรวจสอบที่อบจ.ภูเก็ตเช่นเดียวกัน

          วันที่ 2 ของการชุมนุม (วันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ย.56) อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พร้อมน้องๆนักศึกษา รวมตัวกันออกมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องการต่อต้านระบอบทักษิณ  มีการขี่รถมอเตอร์ไซค์ เป่านกหวีด แห่รอบตัวเมืองภูเก็ต เรียกร้องให้พี่น้องชาวภูเก็ตออกมาร่วมการชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณ ซึ่งมีแกนนำของน้องๆนักศึกษาสลับกันขึ้นเวทีปราศรัยอยู่ตลอดทั้งวัน ซึ่งก็เป็นการแสดงออกถึงจุดยืนในระบบประชาธิปไตย ซึ่งใครๆก็แสดงออกได้ แต่นั่นแหละต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของประเทศไทย

          วันที่ 3 ของการชุมนุม (วันศุกร์ที่ 29 พ.ย.56) เริ่มกันตั้งแต่เช้ามีการรวมตัวของพี่น้องประชาชนชาวภูเก็ตเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลออกมารับผิดชอบ แต่ดูแล้ว 3 วันที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย มีแต่จะเกิดความเสียหายให้กับประเทศมากยิ่งขึ้น เพราะมีการประกาศจากหลายๆประเทศ ให้ประชาชนของเขาที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยให้ระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น ดิฉันในฐานะผู้สื่อข่าว ที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ของบ้านเมืองยังคิดไม่ออกว่าจะยุติปัญหากันอย่างไร

          หลังจากเครียดกับการทำข่าวการชุมนุมหลายวัน ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากทางสภาการศึกษาจังหวัดภูเก็ต“พี่ร้องให้น้องได้เรียน” เชิญทานข้าวเพื่อเลี้ยงขอบคุณสื่อทุกแขนงที่ให้การสนับสนุนการจัดคอนเสิร์ต สำเร็จด้วยดี ฉันไม่รอช้ารีบรับคำเชิญทันที ช่วงค่ำของคืนวันพฤหัสบดี ที่ 28 พ.ย.56 กับร้าน “บ้านต้นผัก36 อู่อร่อย” ที่อยู่ทางไป อ.กะทู้ เราเดินทางไปกับผู้สื่อข่าวหลายๆสื่อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทีวี หนังสือพิมพ์ วิทยุ และมีน้องฝึกงานจากราชภัฏภูเก็ตด้วย เมื่อย่างก้าวเข้าร้านจะเห็นน้องนักเรียนจากหลากหลายโรงเรียนมาร่วมงานกันเยอะมาก เพราะโครงการนี้เป็นโครงการที่น้องให้ความสนใจมาก ทางเจ้าของร้านดูแลคณะของเราเป็นอย่าง มีเมนูอาหารหลากหลาย เลือกกินแถบไม่ถูกเลย อย่างอื่นไม่รู้น่ะ แต่ว่า สลัดผักอร่อยมาก เพราะเป็นช่วงที่ตัวเองต้องควบคุมน้ำหนัก (ไดเอท) ไม่ไหวน้ำหนักตัวขึ้นเยอะมาก จนคนใกล้ตัว (กิ๊ก)บอกว่าจะอ้วนมากเกินไปแล้ว (ให้ลดน้ำหนัก)

         One fine day หนึ่งวันสบายๆกับเหยี่ยวข่าวสาวครั้งนี้จบลงแล้ว ในสถานะทางการเมืองที่ร้อนระอุ ต่างฝ่ายต่างเครียด เป็นธรรมดาของการเมือง แต่สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้นั่นคือ การมีวิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และสำคัญคือการใส่ใจเรื่องสุขภาพและดูแลคนที่คุณรัก คนในครอบครัว หากมีโอกาสติดตามกันว่าเหยี่ยวข่าวอย่างดิฉัน จะพาคุณไปกินไปเที่ยวที่ไหน???

      

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Suwanna Jongrak
เขียนเมื่อ

    ชีวิตของคนเราแต่ละคนมีอุปสรรค์แตกต่างกัน ดังนั้นวิธีคิดของคนเราไม่เหมือนกัน ถ้าเราอยู่ในโลกของความเป็นจริงแล้ว และเข้าใจรูปแบบการใช้ชีวิต ว่าเราเลิกกับแฟนแล้ว ไม่มีใครที่อยู่เคียงข้างเราแล้ว ทำไงได้ ก็เลี้ยงลูกสิ นี่เป็นความคิดสำหรับผู้หญิงที่ต้องได้กลายว่าเป็นหญิงหม้าย ในสายตาใครหลายๆคน ดิฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นหม้าย  

    ดิฉัน นางสาวสุวรรณา จงรักษ์ ปัจจุบันอายุ 36 ปี เป็นบุตรคนที่ 1 ของครอบครัว บิดาชื่อ นายลิขิต จงรักษ์ มารดาชื่อ นางพวงน้อย จงรักษ์ เรามีอยู่ 3 คนพี่น้อง ดิฉันในฐานะที่เป็นบุตรคนโต ก็ถือว่าเป็นที่รักของพ่อแม่ และก็ญาติ เพราะแม่ก็เป็นพี่คนโต มีพี่น้องหลายคนเหมือนกัน ในฐานะที่ตัวเองเป็นหลานคนแรกก็ถือว่าญาติพี่น้องก็ตามใจ  ตั้งแต่จำความได้รู้สึกว่า ชีวิตครอบครัวก็ค่อยข้างลำบากมากเหมือนกัน เพราะพ่อกับแม่ต้องโยกย้ายถิ่นฐานเดิมที่อยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่จังหวัดชุมพร พ่อแม่ไปอยู่ที่จ.ชุมพร เท่ากับต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ทุกๆอย่าง จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองยังเด็กอยู่ เราไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กันที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร

     หลังจากที่เราลงรถสายประจำทาง ที่บ้านอ่างทอง เราก็ลงมือเดินเท้าเข้าไปที่จุดมุ่งหมาย คือ บ้านบางท่า เรามีญาติพี่น้องที่ร่วมเดินทางไปตายเอาดาบหน้ากับครอบครัวของเราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ยาย หรือน้องๆของแม่ เพราะทุกคนพร้อมใจที่จะไปสู้ชีวิตกันข้างหน้า ไม่ได้คิดเลยว่าข้างหน้ามันจะมีอุปสรรคอะไรบ้าง แต่เราก็ต้องไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องไปให้ถึง ระยะทางที่เราต้องใช้ในการเดินทางถ้าเป็นระยะทางในปัจจุบันตอนนี้คือระยะทาง 35 กิโลเมตร แต่จำไม่ได้แล้วว่าตอนใช้ใช้ระยะเวลาเดินเท้ากี่วันถึงจะถึงที่หมาย  เพราะตอนนั้นก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่ารถยนต์ส่วนตัวไม่มีเหมือนปัจจุบัน ระยะเวลาที่เดินทางอุปสรรค์มีมากมายเหลือเกิน เพราะตอนนั้นมันยังเป็นป่าไม้ที่สมบูรณ์ มีทั้งสัตว์ที่ดุร้าย และสัตว์ที่ดูดเลือด อย่างเช่น ตัวทาก (เป็นตัวยาวๆคล้ายตัวปลิง นิสัยชอบดูดเลือดเหมือนกัน แต่อาศัยอยู่ในป่า จำได้ว่าตัวเองเกลียดมากเลย) ชีวิตที่ต้องไปเริ่มต้นอยู่ในป่าแก่ ดิฉันเป็นเด็กคนเดียวในขณะนั้น ตอนนั้นอยู่แต่บนขนำ พ่อไม่ให้ลงจากขนำ เพราะมีทั้ง เสือ ช้าง และสัตว์ป่าที่ดุร้ายอีกมากมาย สาธยายกันไม่หมด พวกเราอยู่รวมกันเยอะมากถ้าจำไม่ผิด เวลาหุงข้าวต้องใช้กระทะใบใหญ่ แต่ก็ช่วยกันปลูกข้าวไว้กิน เรื่องกับข้าวนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะหาอาหารกันได้ง่ายเหลือเกิน ดิฉันใช้ชีวิตในวัยเด็กได้คุ้มมากๆ   

    แต่แล้วก็ถึงวัยที่ดิฉันต้องเข้าเรียน แต่ก็ไม่มีโรงเรียนให้เรียน  แต่ดิฉันเป็นคนที่โชคดีมากๆ เพราะดิฉันได้พวกคอมมิวนิตส์เป็นพี่เลี้ยงสอนหนังสือให้ เพราะที่ที่เราไปอยู่ อยู่ใกล้ๆกับพวกคอมมิวนิตส์ที่เขาไปตั้งถิ่นฐานรกรากกัน  พอหัวค่ำๆถือหนังสือ ก.ไก่ 1 เล่ม ไปให้พวกเขาสอนให้ พวกเขาก็ใจดีนะค่ะสอนให้ทุกวันเลย นี่แหละก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกคอมฯ จนเท่าทุกวันนี้ พอถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้าโรงเรียน ป.1 พ่อก็เอามาฝากไว้ที่บ้านย่า ที่จ.สุราษฎร์ธานี ดิฉันหนังสืออยู่บ้านย่าจนถึง ป.3 แล้วก็ย้ายไปอยู่ ป.4 ที่บ้านยายที่จ.นครศรีธรรมราช

     ตอนนั้นชีวิตในครอบครัวเริ่มเปลี่ยนไป เพราะทางบ้านเริ่มมีฐานะค่อยข้างดี แต่ฐานะในครอบครัวเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีภรรยาน้อย โดยที่แม่ไม่รู้เพราะมัวทำแต่งาน เลี้ยงแต่ลูก แต่ในที่สุดความลับมันก็ไม่มีในโลก แม่ก็รู้เลยทำให้ชีวิตครอบครัวตอนนั้นมีปัญหามาก เพราะพ่อกับแม่ทะเลาะกันมากเกือบจะได้แยกทางกัน ดิฉันก็เกือบจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่หรอกนะในตอนนั้น ตัวเองก็ได้แต่เก็บความเสียใจเอาไว้ แสดงความคิดเห็นอะไรไม่ได้ ต่อมาเรียนจบ ป.6 ก็ย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่จ.ชุมพร อ่อ! ตอนนั้นเรียนจบป.6 พอดีกับที่พายุเกย์ ทล่มจ.ชุมพร ในวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2532 ปีนั้นฉันยังจำได้ไม่ลืม ตอนนั้นที่บ้านไม่เหลืออะไรเลย ไม่ว่าจะเป็น สวนกาแฟ ปาล์ม ยาง พายุเกย์ทล่มทำให้เรียกได้ว่าหมดตัวกันเลยแหละ เพราะทุกอย่างที่สร้างมากับมือต้องใช้เวลา แต่พายุเกย์ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีพัดหายไปกับตา ตอนนั้นพี่น้องชาวชุมพรหมดตัวกันเลย

      ถึงเวลาที่จะต้องเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว ดิฉันก็ไปเรียนต่อ ม.1 ที่ร.ร.ท่าแซะรัชดาภิเษก ตอนแรกก็ไปๆมาๆกับรถของบริษัท วิจิตรภัณฑ์ สวนปาล์ม แต่ก็ไม่ไหวเพราะระยะทางตั้ง 35 กิโล ไปกลับวันหนึ่ง 70 กิโล พ่อก็เลยให้มาอยู่บ้านญาติที่เป็นหมออยู่ที่บ้านยายไท แต่ก็อยู่ได้ระยะหนึ่ง ตอนหลังก็มาอยู่ที่หอพักของโรงเรียน  เออ! เริ่มมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองกับครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง ใครหลายๆคนคงจะจำได้ว่า ประมาณวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2535 กรณีพิพาทเนิน 491 ชายแดนไทย-พม่า ที่จังหวัดชุมพร ตอนนั้นเหมือนกำลังอยู่ในสงครามเลย มีตำรวจตระเวนชายแดน ขึ้นไปอยู่เพื่อรักษาเขตแดนของประเทศไทยไว้ มีการขุดหลุม ตั้งบังเกอร์ไว้เพื่อให้ชาวบ้านได้เข้าไปอยู่เพื่อหลบภัย เวลาเขายิ่งต่อสู้กันเราก็นั่งดู เพราะตอนนั้นยังเด็กอยู่ไม่ค่อยรู้เรื่องว่ามันอันตรายขนาดไหน เราเห็นกลายเป็นเรื่องสนุกเสียอีก    

       ชีวิตเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นก็เรียนอยู่ประมาณ ม.4 ที่บ้านก็เริ่มมีปัญหา ประกอบกับที่เราหมดตัวจากตอนที่โดนพายุเกย์ มันทำให้พ่อกับแม่ท้อที่จะทำสวนต่อ พ่อก็ตัดสินใจที่จะขายสวนที่เรามีอยู่ทั้งหมดแล้วมาอยู่ที่จ.ภูเก็ต ดิฉันก็เลยมาเรียนต่อที่โรงเรียนสตรี ภูเก็ต ม.4 จนเรียนจบ ม.6 ในปี พ.ศ.2539 พ่อกับแม่อยู่ภูเก็ตไม่นานก็ต้องย้ายกลับอีก

    ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็ย้ายกลับไปอยู่ที่ จ.ชุมพร อ.ละแม อีก ไปประกอบอาชีพชาวประมง แต่ดิฉันกับน้องๆก็ต้องเช่าบ้านอยู่กันตามลำพัง อยู่ได้ไม่นานพ่อก็มารับน้องไปอยู่ด้วย  ดิฉันก็ต้องอยู่ตามลำพังบ้านญาติ จนเรียนจบ ม.6 ดิฉันก็ลงสอบเอ็นทรานซ์ ก็ลงที่วิทยาลัยของเอกชนทั้งนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีความรู้มากพอที่จะไปสู้กับเขามหาวิทยาลัยของรัฐหรอก ก็เลยตัดสินใจลงที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ ก็สอบได้ แต่จำได้ว่าตอนนั้นถ้าใครเอ็นติดก็จะมีการลดหย่อนค่าเทอม พ่อพาดิฉันไปสอบสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัย ทำทุกอย่างเรียบร้อยหมด เหลือแต่รอรายละเอียดบางอย่าง พ่อก็ขอตัวกลับบ้านก่อนบอกให้เราอยู่กับญาติ ดิฉันก็ขอกลับด้วย พ่อถามว่าไม่เรียนหรือ ดิฉันก็บอกพ่อหน้าตาเฉยว่าไม่เรียนแล้วกลับบ้านด้วย เท่านั้นแหละก็กลับเลย ดิฉันไม่รู้เลยว่า นี่แหละคือสิ่งที่เราทำให้พ่อเสียใจที่สุดในชีวิต เพราะเขาหวังไว้กับเรามาก แต่เรากลับทำให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจ

     หลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ภูเก็ตอีกครั้ง  ก็เริ่มหางานทำ ตอนนั้นดิฉันได้ไปทำงานที่หนังสือพิมพ์เสียงใต้ รายวัน ในตำแหน่งพิสูจน์อักษร (ตรวจข่าว) เริ่มทำงานครั้งแรกเงินเดือน 4,000 บาท ตอนนั้นก็ตัดสินใจไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ภาคกศ.บป. พัฒนาชุมชน

       ชีวิตเริ่มเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง เพราะดิฉันเริ่มมีแฟน เราคบกันอยู่พักหนึ่งก็เลยตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ โดยที่ทุกคนที่บ้านไม่มีใครรู้ เราก็อยู่กันมานานหลายปี จนกระทั่งท้องก็เลยตัดสินใจบอกพ่อกับแม่  ท่านให้เราแต่งงานกันตามประเพณี ไม่ว่าจะเป็นทางศาสนาอิสลามหรือพุทธ  เพราะแฟนของดิฉันเป็นคนอิสลาม แรกๆเราก็ใช้ชีวิตคู่กันมีความสุขดี เหมือนสุภาษิตคำพังเพยของไทยที่เขาเปรียบเทียบไว้ว่า แรกๆน้ำต้มผักจะหวาน นานๆน้ำตาลก็ยังขม แต่พออยู่กันนานๆ สามีก็เริ่มเปลี่ยน เริ่มคบเพื่อน เที่ยว เมา ยาเสพติด คือทุกอย่างครบหมด ดิฉันเรียนอยู่จนกระทั่งฝึกงานแล้ว แต่ก็เรียนไม่จบหรอก เพราะตอนหลังๆมีรายจ่ายเยอะไม่มีตังค์เสียค่าเทอม ก็เลยต้องหยุดเรียน ดิฉันก็ตั้งท้อง คิดว่าถ้ามีลูกแล้วแฟนจะเปลี่ยนนิสัย ไม่เลยเริ่มหนักกว่าเดิมอีก   ดิฉันอุ้มท้องลูกนานอยู่ 9 เดือนในที่สุดดิฉันก็คลอดลูกผู้ชาย ชีวิตช่วงนั้นลำบากมากอยู่เหมือนกันเพราะ  สามีไม่ได้ทำงานทำการอะไร แถมติดยาเสพติดอีก ทำให้ดิฉันต้องรับผิดชอบทั้ง 2 ชีวิต เราอยู่ที่ภูเก็ตอยู่พักหนึ่งคิดว่าชีวิตคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ จ.ชุมพร คิดว่าชีวิตคงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่ไม่เลยยิ่งลำบากกว่าเดิมอีก ตอนที่กลับไปอยู่ที่ชุมพรดิฉันก็ท้องลูกคนที่ 2 ใช้ชีวิตอยู่ที่จ.ชุมพรเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

      จนกระทั่งคลอดลูกที่ 2 ก็คิดที่จะไปสร้างอนาคตที่บ้านแฟนที่ จ.พังงา แต่ไม่เลยยิ่งลำบากหนักเข้าไปอีก ดิฉันไปอยู่ได้พักหนึ่งก็เลยตัดสินใจกลับมาทำงานที่ภูเก็ตอีก ตอนนั้นมาทำงานอยู่คนเดียวแฟนอยู่เกาะยาว จ.พังงา กับลูกชาย ส่วนลูกสาวมาทิ้งไว้กับพ่อแม่ที่ชุมพร ชีวิตก็ดำเนินไปเรื่อยๆตามวิถีชีวิตที่ต้องดิ้นรนไป อยู่ได้สักพักสามีก็พาลูกชายตามมาอยู่ด้วย ดิฉันก็เลยไปรับลูกสาวมาอยู่ด้วย เพราะลูกสาวถึงเกณฑ์ที่จะเข้าโรงเรียนแล้ว เราก็ใช้ชีวิตอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันมาเรื่อยๆ จนลืมตาอ้าปากได้ สามีก็เริ่มเปลี่ยนไป เที่ยว แล้วก็ติดผู้หญิง ช่วงหลังชีวิตครอบครัวของเรามีปัญหากันบ่อยมาก สงสารแต่ลูกๆที่เห็นเราทะเลาะกันบ่อยมาก ดิฉันก็ทนนะทนจนไม่ไหว เพราะชีวิตของลูกผู้หญิงถ้าแต่งงานกับใครสักคนแล้ว คนนั้นแหละที่เราจะอยู่ด้วยจนวันตาย

     แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราก็จบลงด้วยการแยกทางกัน แฟนเขาก็ไปตามทางของเขา เราก็อยู่ตามทางของเรา ดิฉันอยู่กับลูกทั้ง 2 คน ดิฉันก็ตัดสินใจกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ที่ชุมพร ดิฉันก็เลี้ยงลูกเอง โดยมีพ่อกับแม่ของดิฉันช่วยเลี้ยง ชีวิตช่วงนั้นรู้ได้เลยว่าตัวเองเหมือนตายทั้งเป็น กว่าที่จะยืนหยัดสู้ได้ต้องใช้เวลานานหลายปี เพราะดิฉันมีลูกที่คอยเป็นกำลังใจยืนเคียงคู่อยู่ข้างๆ คิดที่จะสู้เพื่อเขา ดิฉันคิดว่าเราต้องเลี้ยงเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยังไงเขาก็เกิดมาเป็นลูกของเราแล้ว หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ตัดสินใจมาทำงานที่ภูเก็ตอีกครั้ง โดยที่ทิ้งลูกไว้กับพ่อและแม่ ตัวเราเองก็เสียใจนะที่ทิ้งลูกเอาไว้เพราะตัวเองเคยตั้งปฏิธานไว้แล้วว่าจะไม่ให้ลูกไปอยู่กับใครเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของตัวเองก็ตาม แต่ไม่เลยมันเป็นไปไม่ได้ เพราะดิฉันต้องทำมาหากิน ดิฉันกลับมาครั้งนี้ก็เป็นการเริ่มต้นการทำงานที่ตังเองรัก คือ ได้มาจัดรายการวิทยุ ที่คลื่นวิทยุ 96.75 MHZ ของ สวท.ภูเก็ต และก็เป็นผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นภูเก็ต คือ หนังสือพิมพ์ภูเก็ตนิวส์ และก็ หนังสือพิมพ์แนวหน้า ดังนั้นคิดว่าการศึกษาคงเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำงาน ก็เลยตัดสินใจลงเรียนอีกครั้งหนึ่ง โดยเรียนคณะวิทยาการจัดการ โปรแกรมนิเทศศาสตร์  บางทีตัวเองอาจจะประสบความสำเร็จกับอาชีพการงานที่ตัวเองรักก็ได้ ไม่มีใครรู้อนาคตได้หรอกน่ะ คนเราเกิดมาในโลกนี้ทั้งทีก็ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้กับอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต เดี๋ยวเวลามันจะเป็นตัวช่วยเราเองแหละ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท