ศาสนากับรัฐ : การตีความอุดมการณ์ศาสนา (พุทธ) เพื่อรับใช้อุดมการณ์รัฐของชนชั้นปกครองไทย
ขอออกตัวก่อนว่าบทความนี้เป็นเพียงความรู้ ความรู้สึกและความเข้าใจส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานชี้วัด ความผิดถูกได้แต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงการใช้สิทธิ์ที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยของตนเองในสังคมที่เชื่อกันว่าเป็นประชาธิปไตยนี้เป็นฐานในการแสดงออกผ่านตัวอักษรเท่านั้น
อุดมการณ์สูงสุดของศาสนาคือได้การบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดของการมีชีวิตตามคติของแต่ละศาสนา เช่น เป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธคือบรรลุพระนิพพาน ตัดวงจรวัฏฏะสงสาร โดยระดับขั้นของการบรรลุขึ้นอยู่กับการละสังโยชน์แต่ละข้อในระดับต่างๆศาสนาคริสต์ คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในจากละโลกนี้ไปแล้ว ฯลฯ
การจะบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดของแต่ล่ะศาสนานั้นจุดร่วมที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ต้องปฏิบัติตามหลักการของแต่ละศาสนา ซึ่งจะเป็นกระบวนการที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติตามนั้นบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดของละศาสนาที่ตนศรัทธาได้
กระบวนการในการเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของแต่ละศาสนา มีความแตกต่างกัน ข้อแตกต่างระหว่างศาสนานั้นอาจมีหลายประการ แต่ที่ผู้เขียนนึกได้ตอนนี้ใน ก็คือ ข้อแตกต่างระหว่างเป้าหมายสูงสุด และกระบวนการที่ใช้ในการเข้าถึง
ประเด็นที่ผู้เขียนนำมาขบคิดก็คือ กระบวนการหรือวิธีการเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของแต่ละศาสนานั้น ต่างมีข้อห้ามและข้อพึงปฏิบัติ ที่แตกต่างกัน ข้อห้ามและข้อพึงปฏิบัติที่แตกต่างกันของแต่ละศาสนานั้นจะไม่ของกล่าวถึงเพราะเป็นหลักและวิธีการจำเพาะของแต่ละศาสนาที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดทางศาสนา
แต่ประเด็นที่ผู้เขียนสนใจก็คือ ข้อห้าม ข้อพึงปฏิบัติและความเชื่อทางศาสนาบางข้อบางประเด็นที่ตีความโดยชนชั้นปกครองและถ่ายเทความเชื่อเหล่านั้นให้กับชั้นชนที่ถูกปกครอง(ประชาชน ชาวบ้าน) ขัดกับหลักการของรัฐสมัยใหม่ ที่ ให้ความสำคัญต่อ ศักยภาพและความสามารถของมนุษย์ อีกทั้งเรื่อง สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของคนในสังคม หรือไม่ ?
อุดมการณ์สูงสุดของรัฐในทัศนะของผู้เขียน คือสังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic socialism) ที่ให้ความสำคัญกับการอยู่ดีกินดีของประชาชนภายในรัฐ ภายใต้ระบอบการปกครองที่ดี เป็นธรรม และคำนึงถึง เสรีภาพและความเสมอภาพของประชาชนในรัฐ ส่วนรูปแบบการปกครองนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นมติของคนในรัฐเสมอไปว่า จะเลือกรูปแบบการปกครองใด เพราะมติหรือความเห็นของคนในรัฐที่ผ่านการปลูกฝังจากชนชั้นปกครองให้ยอมจำนน โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือนั้น เป็นมติที่ใช้ไม่ได้ ดังจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากเสรีไทยกลุ่มหนึ่งที่อภิวัฒน์รูปแบบการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยเห็นว่ารูปการปกครองที่ใช้อยู่ในขณะนั้นไม่ธรรมและขัดกับหลักสากล โดยประชาชนส่วนใหญ่ที่ผ่านการปลุกฝังจากชนชั้นปกครองให้ยอมจำนน ดังที่กล่าวมาแล้ว อาจจะไม่เห็นด้วยในขณะนั้น
ซึ่งการจะบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดของรัฐดังที่กล่าวแล้วมานั้น ก็มีวิธีการหรือกระบวนการของตนเอง ในทัศนะของผู้เขียนมองว่า ข้อห้ามและข้อพึงปฏิบัติ อีกทั้งความเชื่อทางศาสนาที่ถูกตีความโดยชนชั้นนั้น ขัดกับกระบวนการเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของรัฐ เพราะการตีความความเชื่อทางศาสนา (พุทธ) เป็นไปในลักษณะให้ประชาชนจำนนต่ออำนาจ และทำให้ประชาชนรู้สึกขาดอำนาจและความสามารถในการเปลี่ยนแปลง ความเป็นไปของบ้านเมืองอยู่นอกเหนืออำนาจของมนุษย์ หากแต่ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของบ้านเมือง ดังปรากฏ หนังสือไตรภูมิพระร่วงซึ่งเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อความคิดของคนไทยแต่โบราณเป็นอย่าสูงหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายว่ามนุษย์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในภูมิต่างๆ นานนับชาติไม่ถ้วนจนกว่ามนุษย์จะนิพพาน เวลาอยู่บนโลกนี้จึงไม่แน่นอน มีลักษณะอนิจจังตั้งอยู่ไม่ได้นาน เป็นเวลาแห่งความทุกข์หรือมีความไม่เที่ยงแท้ ชีวิตมนุษย์จึงมีแต่ความทุกข์ ที่สำคัญระยะ เวลาไม่เกินร้อยปีทีมนุษย์แต่ละคนมีชีวิตอยู่ มนุษย์ไม่สามารถกำหนดสภาพและวิถีชีวิตของตนได้ เนื่องจากชีวิตในชาตินี้ถูกกำหนดไว้ในอดีตด้วยกรรมในชาติก่อน ๆและสังคมมนุษย์โดยรวมจะค่อยๆเสื่อมลงจนถึงกลียุคที่มนุษย์จะต้องล้มตายลงอย่าง ทุกขทรมาน มนุษย์ที่ทำกรรมดีจะได้ไปเกิดในช่วงเวลาที่ดีและมีอายุยืนนาน ถ้าทำกรรมชั่วก็จะได้ไปเกิดในช่วงเวลาที่เลวร้าย เช่น กลียุค เป็นต้น[1]
ต้องทำความเข้าใจกับผู้อ่านนิดนึ่งว่า คำว่า อุดมการณ์ศาสนากับอุดมการณ์รัฐ ที่ว่านี้ หมายเอาเฉพาะศาสนาพุทธต่อประเทศไทยเท่านั้น
และนิยามคำว่า ขัด ที่กล่าวมาข้างต้น คือ การขัดในแง่ของการตีความหลักการทางศาสนาของรัฐเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองของชนชั้นปกครอง
อุดมการณ์ของศาสนาพุทธในประเทศไทยจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสนองต่ออุดมการณ์รัฐ ซึ่งเป็นการตีความคำสอนทางศาสนาที่ผิด และก่อให้เกิดปัญหาเรื่อยรังต่อการปลูกต้นกล้าแห่งความเข้าใจต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย
การใช้ศาสนาเพื่อใช้เป็นเครื่องรองรับความชอบธรรมต่อชนชั้นปกครองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะอุดมการณ์ทางศาสนาไม่ได้มีเป้าหมายทางการปกครองแต่มีเป้าหมายเพื่อเข้าถึงสาระที่แท้จริงของการมีชีวิต และศาสนาเองโดยเฉพาะศาสนาพุทธก็เกิดขึ้นก่อนที่ความคิดเรื่องรัฐชาติจะเกิด สำหรับเรื่องอุดมการณ์รัฐนั้นไม่ต้องพูดถึง
รัฐหรือการเมืองควรเดินตามอุดมการณ์และแนวทางของตนเองโดยใช้หลักทางศาสนามาประกอบในส่วนของการสร้างคุณธรรมจริยธรรมพื้นฐานให้กับประชาชนเพื่อความสงบสุขของคนในรัฐ ส่วน คุณธรรมขั้นสูงนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและความสมัครใจของปัจเจกคนในรัฐเอง สำหรับ คุณธรรมจริยธรรมขั้นพื้นฐานนั้นประชาชนในรัฐจะต้องมีโดยมีสภาพบังคับในรูปของกฎหมาย เพราะหากประชาชนใน รัฐขาดเสียซึ่งคุณธรรมจริยธรรมขั้นพื้นฐานเสียแล้วรัฐก็ถึงกาลวิบัติ ศาสนาจึงควรอยู่ในสถานะที่เป็นเสาหลักทางความมั่นคง ที่พึ่งทางจิตใจ ทั้งยังเป็นเป้าหลอมพฤติกรรมและเป็นบ่อเกิดประเพณีวัฒนธรรมสร้างความเป็นอัตตลักษณ์ให้กับคนในรัฐ เมื่อใดก็ที่ประชาชนในรัฐเห็นว่าสถานะดังกล่าวของศาสนาไม่มีความจำเป็นต่อตนแล้ว ศาสนาก็ไม่มีความจำเป็นต่อรัฐอีกต่อไป ในทัศนะของผู้เขียนเองมองว่า หากประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐมองว่าสถานะของศาสนาไม่จำเป็นต่อรัฐ เมื่อนั้นรัฐเองก็ประสบความล้มเหลวต่อการดำรงอยู่ของรัฐ
และสถานะที่รัฐควรปฏิบัติต่อศาสนาก็คือ ส่งเสริมสนับสนุน อุปถัมภ์ดูแล ให้สถาบันทางศาสนาทำหน้าที่ของตนเองเพื่อเอื้อต่อการนำพาสังคมให้เข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของอุดมการณ์รัฐต่อไปและรัฐต้องไม่ละเมิดสิทธิประชาชนในการเลือกนับถือศาสนาเป็นอันขาด เพราะการละเมิดสิทธิประชาชนในการเลือกนับถือศาสนานั้นขัดกับอุดมการณ์พื้นฐานของรัฐเองของรัฐในระบอบประชาธิปไตยเสียเอง
จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่รัฐจะเข้ามาก้าวก่ายศาสนาในแง่ของการตีความและการบริหารจัดการหรือกำหนดรูปแบบโครงสร้างการบริหารให้กับคณะสงฆ์ไทย( ในประเทศไทยโครงสร้างทางการบริหารของคณะสงฆ์เองก็ขัดกับอุดมการณ์พื้นฐานของศาสนาพุทธ )
ที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะการใช้ตรรกะทางโลกีย์บางเรื่องก็ขัดกับตรรกะทางโลกุตระอย่างรุนแรง และจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาศาสนาพุทธเป็นอันต้องอันตรธานจากประเทศที่เคยมีพระพุทธศาสนาไป เพราะการใช้อำนาจรัฐควบคุมศาสนาในทุกๆด้าน หากรัฐและประชาชนเห็นว่าศาสนา (พุทธ) ยังมีนบทบาทสำคัญที่เอื้อต่อการบรรลุเป้าหมายของอุดมการณ์รัฐอยู่ ก็สมควรทบทวนและแก้ไขบทบาทของรัฐไทยที่มีต่อศาสนาได้และกระมัง
ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาทั้งหมด (ขอย้ำอีกหนว่า) รัฐต้องทบทวนบทบาทของตนเองที่มีต่อศาสนาว่า ได้ก้าวล่วงศาสนาจากฐานคิดที่หลงผิดคิดว่าตนเอง(รัฐ)มีอำนาจและใช้อำนานโดยขาดสำนึกและความเข้าใจถึงข้อแตกต่างระหว่างอุดมการณ์ของศาสนาและอุดมการณ์ของรัฐเอง เพราะถ้าสถาบันหลักของสังคมยังไม่เข้าขอบเขตและบทบาทอำนาจของตนเองแล้ว จะนำพาสังคมไทย (โดยชื่อ)ไปสู่อุดมการณ์สูงสุดของทั้งศาสนาและรัฐได้อย่างไร ?
ขอใช้เวทีสาธารณะนี้ในการถกเถียงเพื่อนำสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
วรารักษ์ รจนา
[1] พิพัฒน์ พสุธารชาติ 2549. รัฐกับศาสนา : 45 – 46 อ้างถึงใน อรรถจักร สัตยานุรักษ์ ,การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผู้นำไทย ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ถึงพุทธศักราช 2541
ไม่มีความเห็น