นิตยสาร National Geographic ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2006 มีเรื่องขึ้นปก ว่า Love. Chemical Reaction ที่หน้าสารบัญเขียนว่า True Love. Scientists say that the brain chemistry of infatuation is akin to mental illness ---- which gives new meaning to "madly in love".
ทำให้ผมนึกถึงคำว่า "คลั่งรัก" "บ้ารัก" "ความรักเหมือนโรคา" และนึกถึงช่วงปี ๒๕๐๗ - ๒๕๐๘ ผมไปจีบผู้หญิงที่บ้านอยู่ที่บางโพ บ้านของเธออยู่ในซอย ต้องเดินเข้าไปสัก ๒๐๐ เมตร ลงจากรถเมล์ผมก็เดินเข้าไปอย่างกระฉับกระเฉง เรียกได้ว่าวันเสาร์หรืออาทิตย์ผมต้องไปเป็นแขกบ้านนี้ และคุยกันอยู่ได้คุยดีแบบไม่เกรงเสียมรรยาท คือบางวันอยู่ตั้ง ๔ - ๕ ชั่วโมง กินข้าวเที่ยงเสียด้วยเลย สงสัยว่าพี่สะใภ้และพี่สาวของผู้หญิงคงจะเชียร์ผมอยู่บ้าง เขาจึงหลบอยู่บนบ้านกันหมด ปล่อยให้ผมกับ "ว่าที่แฟน" จับจองห้องรับแขกอยู่ ๒ คน มีหลานตัวเล็กๆ นั่งเล่นกันอยู่บ้าง มีคุณยายมาร่วมคุยบ้าง
นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ถึงขนาด "คลั่งรัก" แต่พอถึงหน้าน้ำหลากอย่างตอนนี้ หน้าปากซอยซึ่งอยู่ต่ำกว่าถนนมากจะมีน้ำท่วม ท่วมไม่มากนัก อย่างสูงก็ครึ่งแข้ง แล้วผมจะทำอย่างไร สบายมากครับ เรื่องแค่นี้ ผมลุยน้ำทั้งรองเท้าถุงเท้าเลยครับ ค่อยไปถอดผึ่งเอาที่บ้าน เรื่องไอ้หนุ่มลุยน้ำไปหาสาวนี้รู้กันทั่วไปในหมู่เพื่อนๆ ผม และเธอ
นักวิทยาศาสตร์เขาหาวิธีวัดความรักด้วยเครื่องสแกนสมอง ที่เรียกว่าเครื่อง MRI - Magnetic Resonance Imaging หาอาสาสมัครที่กำลังอยู่ในสภาพมีความรักแบบต่างๆ มาตรวจ แล้วเอารูปคนรักให้ดู กับเอารูปคนทั่วๆ ไปให้ดู พบว่าสมองส่วน ventral tegmental และ caudate nucleus สว่างวาบ สมองส่วนนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นสมองแห่งความหฤหรรษ์ (pleasure) และเหตุที่สมองส่วนนี้สว่างก็เพระมีการหลั่งสารสื่อประสาท dopamine ออกมา dopamine นี้ทำให้ร่างกายเกิดพลังมหาศาล ตรงกับคำไทยว่า "ความรักเหมือนโคถึก" ฉุดไม่อยู่ ทำอะไรๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้
นักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งศึกษาคน "คลั่งรัก" เปรียบเทียบกับคนเป็นโรคจิตที่เรียกว่า obsessive - compulsive disorder (OCD) โดยเจาะเลือดวัดระดับ serotonin เปรียบเทียบกัน พบว่าระดับ serotonin ในคนทั้งสองกลุ่มต่ำกว่าในคนปกติร้อยละ ๔๐ serotonin เป็นสารเคมีที่หลั่งตรงรอยต่อของเส้นใยประสาท เคมีแห่งรัก กับเคมีแห่งบ้า ดูจะมีส่วนคล้ายกัน
รักร้อน-ร้อนรัก หรือรักแบบโรแมนติค กับรักยั่งยืนไม่เหมือนกัน รักโรแมนติค เกิดจากพลัง dopamine คล้ายๆ เกิดจากโด๊บยา พอนานๆ เข้าก็ดื้อยา ต้องใช้โดปามีนมากขึ้น จนในที่สุดก็ไม่ได้ผล ความรักก็จืดจางไป แต่รักยั่งยืนเกิดจากพลัง oxytocin ฮอร์โมนแห่งความสัมพันธ์ ความผูกพัน เป็นฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อสามีภรรยากอดกัน เมื่อแม่กอดลูก สัตว์ที่มีระดับ oxytocin สูงในเลือด เป็นสัตว์ที่ครองคู่ตลอดชีวิต
ผมยังไม่เคยวัดระดับ oxytocin ของตัวเองเลย แต่น่าจะพอเดาได้ว่าสูง เพราะสาวที่ผมลุยน้ำไปหาทุกอาทิตย์เมื่อกว่าสี่สิบปีก่อนนั้น เวลานี้เป็นผู้อุ้มชูดูแลผมอยู่พร้อมกับลูกสี่คน และผมก็หมั่นเติม oxytocin ทุกวัน
รถยนต์ต้องเติมน้ำมันฉันใด คู่ภรรยาสามีก็ต้องเติม oxytocin ฉันนั้น แต่เติมน้ำมันเสียเงิน เติม oxytocin ไม่เสียเงิน
ตามบทความในนิตยสาร National Geographic นี้ มองความรักเป็นปฏิกริยาเคมี มองเป็นโรคา แต่ผมมองเป็นความหวานชื่นครับ นึกถึงตอนลุยน้ำไปหาสาวก็หวานชื่นไปแบบหนึ่ง นึกถึงชีวิตหลังเกษียณร่วมกัน ก็สุขไปอีกแบบหนึ่ง
วิจารณ์ พานิช
๑ พย. ๔๙
ได้อ่านข้อเขียนนี้แล้วทั้งได้ความรู้และขำขัน :-)
อ่านพร้อมเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนเกิดคำถามว่า"สารคลั่งรัก" จะเป็นตัวเดียวกับที่คนเราสามารถยกโอ่งมังกรหรือตู้เย็นหนักๆได้เวลาเกิดไฟไหม้หรือเปล่า? :-D
เวลาตกใจ หรือในสภาพสู้สุดฤทธิ์ สารที่หลั่งคือ adrenalin ครับ ไม่ใช่ dopamine
วิจารณ์
สวัสดีครับ อาจารย์หมอวิจารณ์
ขอบคุณครับ
สวัสดีอีกครั้งครับ อาจารย์
อ้างถึงข้อคิดเห็นข้างบนนี้ครับ เลยเอาหลักฐานเชิงประจักษ์ (empirical evidence) มาแสดงด้วยครับ :-)
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ