หัวอกคนบ้า Blog (72) ตอน: หมู่บ้านหมอลำ


เมื่อเดือนที่แล้ว คณะคนแซ่เฮได้ลงไปเยี่ยมหลายหมู่บ้าน เพื่อจะศึกษาข้อมูลมาประมวลในการตั้งโจทย์ทำงาน ไปเห็นกระบวนการแก้ปัญหาด้วยสติและพลังของชุมชนล้วนๆ และไปพบกับประเด็นร้อนที่เราไม่เคยทราบมาก่อนว่า..ถ้ารถยนต์ไปชนวัวควายบนทางหลวง..เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่เจ้าของรถยนต์ และซากสัตว์ตัวนั้นก็ยกให้เป็นของกลาง ถ้าผู้เลี้ยงต้องการก็ต้องชวนพรรคพวกลงขันไปประมูลสัตว์ที่น่าสงสารตัวนี้มาชำแหละแบ่งปันกัน สรุปค่าเสียหาย1ตูมประมาณ 30,000-50,000 บาท 

เดือนหนึ่งๆหลายตูมก็หลายแสนบาท และเมื่อ2วันที่แล้ว คนแก่ในหมู่บ้านก็ถูกรถชนตาย..ปัญหาที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเหล่านี้ เป็นบทเรียนเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์หรือเป็นเค้าโครงวิจัยได้ไหม ..ช่วงที่เราไปพบ ชาวบ้านได้ระดมสมองผ่าตัดปัญหาของชุมชนด้วยตนเอง สุดท้ายคำตอบที่เป็นทางออกก็คือ การย้ายคอกสัตว์เลี้ยงจากฝากถนนหนึ่ง มารวมกันเป็นอาณานิคมสัตว์เลี้ยงของกลุ่ม สามารถตัดปัญหาเรื่องอุบัติเหตุได้อย่างดี 

เมื่อเอาโคมาเลี้ยงรวมกันอย่างถาวร จะมีโจทย์ใหม่ๆโผล่ขึ้นมา เช่น เรื่องสถานที่ตั้งความแออัด การสุขาภิบาล การเฝ้าระวังโรคติดต่อ แหล่งน้ำ แหล่งหญ้า อาหารเสริม  ทำให้เกิดการจัดการความรู้ระดับชุมชน นับตั้งแต่กระบวนการกลุ่ม การบริหารกลุ่ม การตั้งกติกากลุ่ม การจัดเวรยาม การปลูกหญ้า การปรับปรุงพันธุ์ การเลี้ยงดู การซื้อ/ขาย ปัญหาย่อยเหล่านี้เหล่านี้โผล่มาให้เป็นหัวข้อในการปรึกษาหารือ หลายเรื่องฝากไว้เป็นการบ้านของทุกคน  

โจทย์:ในการพัฒนาความรู้และสังคมที่เกิดจากกรณีเผชิญปัญหาแบบสดๆ น่าสนใจมากกว่าที่จะพูดกันเรื่องกี่ห่วงกี่เงื่อนไข พูดและฟังมาร้อยรอบมันก็ไอ้แค่นั้นแหละ..ช่วงที่เราเข้าไปคุยด้วย ก็พอประเมินความคิดและปัญหาของชุมชนได้ระดับหนึ่ง  จึงวางแผนที่จะเรียนรู้ร่วมกัน โดยให้การบ้านผู้นำกลุ่มไปรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมา คัดเลือกคนที่จะเอามานอนคุยกันสัก40คน เพื่อที่จะเปิดเรียนวิชาเศรษฐกิจพอเพียงบทที่1 เน้นประเด็นการค้นหาวิธีพึ่งตนเองฉบับท้องถิ่น  

สิ่งที่ผู้นำชุมชนโคคอกรวมเสนอก็คือ ..เขาต้องการแท็งค์น้ำ อยากได้ระบบสปริงเกอร์รดน้ำแปลงหญ้า แสดงว่าการที่พึ่งตนเองมาได้ระดับนี้ ยังคิดต่อไม่ได้ว่าจะพึ่งตนเองระยะที่2-3-4 ได้อย่างไร จุดคลิ๊ก! ตรงนี้ละครับ ที่อยากจะให้ครูบาอาจารย์ นักศึกษา นักวิชาการ นักวิจัยลงมาเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน ไม่อย่างนั้นก็จะไปติดยึดในสิ่งที่ทำอยู่ ที่คิดว่าทำแล้ว พอแล้ว ไม่ทราบว่ามีสถาบันไหนสนใจประเด็นนี้ไหมครับ

ผมค้นหาความรู้เพิ่มเติมในบล็อก ได้ข้อมูลบางส่วนมาประกอบการเขียนเรื่องวิกฤตทางความคิดดังนี้...เมื่อทดสอบทักษะการคิด พบว่าเด็กไทย..คิดไม่เป็น!..มีลักษณะการคิดติดกรอบ คิดไม่มีจินตนาการ...นอกจากนี้ยังมีผลการวิเคราะห์สุขภาวะของคนไทยตั้งแต่ปี 2544–2548 ของสภาพัฒน์ฯ ที่พบว่าสุขภาวะของคนไทยอยู่ในระดับต้องปรับปรุง โดยเฉพาะด้านคิดเป็น ทำเป็น

หมายเลขบันทึก: 152029เขียนเมื่อ 7 ธันวาคม 2007 14:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม 2012 11:51 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • พึ่งทราบนะครับเนี่ย ว่าหากขับรถไปชนวัวบนทางหลวง แล้วเจ้าของสัตว์ต้องจ่ายตังค์ แปลกมาก ไม่ยุติธรรมเลย อย่างนี้ก็อาจเกิดการแกล้งกันได้
  • แตถ้าเมาแล้วไปชนละครับ กฏหมายว่าอย่างไร
  • อิอิ

สวัสดีครับ ท่านครูบา

ผมมีความสนใจอยากจะทำงานในชุมชน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรครับ แล้วประเด็นที่ท่านครูบา เสนออ่านดูแล้วน่าสนใจมากครับ อยากจะลงไปศึกษา ผมจะทำอย่างไรครับท่านครูบาถึงจะได้ร่วมงาน ร่วมคิด ร่วมแก้ไขปัญหากับชุมชน

  • เอาคอกวัวรวมและแปลงหญ้าที่ไปดูมาฝากครับพ่อ
  • จุดเน้นของเจ้านายในเขตพื้นที่ คือ
  • อ่านออก
  • เขียนได้
  • เรื่องคิดได้ คิดเป็น ทำได้
  • เจ้านายยังไม่ได้คิดครับ

คาราวะท่านครูบาฯ

  • วันนี้มีเวลามานั่งอ่านบันทึกที่ยังไม่ได้อ่านหลายวัน
  • สดุดคำที่ว่า"คิดไม่เป็น" ในทุกระดับชนชั้นตั้งแต่คนที่ต้องแบกหัวโขน จนถึงชาวบ้าน และนักศึกษาไปถึงจนเด็ก
  • ลงเอยด้วยความล้มเหลวของการศึกษา
  • หันมามองวัฒนธรรม ก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้การศึกษาเป็นอย่างที่เห็น ..คนดี เด็กดีต้อง เคารพเชื่อ ฟังผู้ใหญ่.....ตามผู้นำ...เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด...
  • แบบพิมพ์ที่โขคกันออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างไม่บันยะบันยั่นเต็มบ้านเต็มเมือง
  • ทั้งๆ ที่ผู้ใหญ่ใจดีก็มีถมไปพร้อมที่จะตอบคำถาม พร้อมที่สอนให้รู้จักคิด แต่เสียดายว่าเขาอาจจะไม่ใช่ครูในระบบ
  • จำได้ว่าตอนเป็นเด็กซนเล่นกันทะเลากันระหว่างพี่น้องจนเหงื่อไหลไคลย้อย พ่อทำโทษโดยให้นั่งคุกเข่ารอจนกว่าพ่อจะไปหาอุปกรณ์ทำโทษได้ แล้วมาชำระความ เริ่มต้นด้วยการให้ชิมเหงื่อของตัวเองว่าเค็มหรือเปล่าถ้าเค็มคือลูกของพ่อ เราก็งงก็เราเป็นลูกของพ่อนี่ แต่เอ ทำไมเหงือของเรามันเค็มละ ถ้าเกิดว่าเหงื่อเราไม่เค็มล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น เราเริ่มคิด....ไม่รู้ละมันต้องคิด หันไปดูอุปกรณ์ทำโทษที่จะต้องใช้กับเรา ก็จะอะไรกันเล่า ไม้ไผ่ดีๆนี่เอง ขนาดหรือ ชนิดที่ทำไม้เรียวได้เป็นโหล พ่อเริ่มผ่าให้ได้ขนาดต่างๆให้เหมาะกับการใช้งาน(ทำโทษ)มีตั้งแต่เล็กสุดถึงใหญ่สุดแต่เหลาเสียสวยงามปราศจากเซี้ยน พวกเราเริ่มคิดต่อว่าจะเลือกไม้เรียวอันไหนดีหนอนึกในใจว่าใครอย่ามาแย่งอันที่เราเลือกไว้ก่อนนะ พ่อเริ่มถามว่าเล่นอะไรกันเล่นกันดีๆมันไม่สนุกใช่ไหมถึงต้องทะเลาะกัน ใครเป็นพี่..ใครเป็นน้อง..เรื่องแค่นี่ทำไมไม่รู้จักคิด เราเป็นพี่เกิดก่อนน้องเรียนรู้มาก่อนน้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดพี่น้องทะเลาะกันต้องถูกทำโทษทุกคน คราวนี้ก็ถามรายละเอียดเพื่อหาสาเหตุของการทะเลาะกันจนรู้ว่าใครผิดใครถูก ก็จะตัดสินว่าใครจะถูกตีจำนวนกี่ครั้งด้วย อันดับแรกทุกคนต้องถูกตีหนึ่งที่เท่ากันถ้วนหน้าเพราะพี่น้องทะเลาะกัน  จากนั้นจำนวนลดหลั่นกันตามความผิด เมื่อทุกคนพร้อมรับโทษ พ่อก็จะให้เลือกไม้แล้ว แต่พ่อถามพี่ที่โตกว่าว่าควรให้ใครเลือกไม้ก่อน คำตอบคือให้น้องที่เล็กที่สุดเลือกก่อนโดยคิดว่าน้องตัวเล็กควรเลือกไม้อันเล็กสุด แล้วค่อยเลียงลำดับจากเล็กไปหาใหญ่..พ่อก็อนุญาตทันที น้องตัวเล็กรีบเดินไปหยิบไม้ขนาดใหญ่สุดมาทันที่ในใจก็คิดสงสารพี่กลัวว่าจะเจ็บมากถ้าถูกตีด้วยไม้ขนาดนี้ ความโกลาหนเกิดขึ้นอีกครั้งต่างก็จะแย่งไม้ใหญ่กัน เพื่อให้คนอื่นเจ็บน้อยที่สุด พ่อยุติด้วยการให้เอาไม้มาคืนแล้วพ่อก็หยิบไม้ขนาดกลางมา ให้พวกเราตั้งแถวเรียงจากพี่โตสุดไปหาน้องเล็กสุดแล้วเดินมาให้พ่อตี พ่อเงื้อยไม้สุดมือฝาดเต็มแรงแต่พอถึงก้นเสียงมันไม่ดังอย่างที่มันควรจะเป็นพ่อทำได้อย่างไรหวาดเสียวแต่ไม่เจ็บเป็นการทำโทษที่สอนให้รู้จักคิด จากนั้นก็เปลี่ยนวิธีทำโทษโดยให้คัดลายมือแต่ละคนเท่ากับจำนวนที่จะถูกตีแต่เป็นจำนวนหน้ากระดาษ
  • นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยให้เด็กได้รู้จักคิด แล้วคำถามก็เกิดตามมาว่าทำไมเหงื่อถึงเค็ม เราก็ได้เรียนรู้ถึงเรื่องเหงื่อ แล้วก็ต้องอาบน้ำให้สะอาด ก่อนกินอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ เกลือแร่ที่เสียไปจากการเล่นก็จะได้ทดแทนจากอาหารที่แม่เตรียมไว้รอ 

Lin Hui

  • ที่อาจารย์ แนะนำ ให้ความเห็นต่างๆ ถือเป็นการเรียนสายตรง ที่ไม่ต้องเปิดตำรา ผมชอบเรียนลัดกับอาจารย์มาก อิอิ ขออีกๆๆ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท