เมื่อเดือนที่แล้ว คณะคนแซ่เฮได้ลงไปเยี่ยมหลายหมู่บ้าน เพื่อจะศึกษาข้อมูลมาประมวลในการตั้งโจทย์ทำงาน ไปเห็นกระบวนการแก้ปัญหาด้วยสติและพลังของชุมชนล้วนๆ และไปพบกับประเด็นร้อนที่เราไม่เคยทราบมาก่อนว่า..ถ้ารถยนต์ไปชนวัวควายบนทางหลวง..เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่เจ้าของรถยนต์ และซากสัตว์ตัวนั้นก็ยกให้เป็นของกลาง ถ้าผู้เลี้ยงต้องการก็ต้องชวนพรรคพวกลงขันไปประมูลสัตว์ที่น่าสงสารตัวนี้มาชำแหละแบ่งปันกัน สรุปค่าเสียหาย1ตูมประมาณ 30,000-50,000 บาท
เดือนหนึ่งๆหลายตูมก็หลายแสนบาท และเมื่อ2วันที่แล้ว คนแก่ในหมู่บ้านก็ถูกรถชนตาย..ปัญหาที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเหล่านี้ เป็นบทเรียนเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์หรือเป็นเค้าโครงวิจัยได้ไหม ..ช่วงที่เราไปพบ ชาวบ้านได้ระดมสมองผ่าตัดปัญหาของชุมชนด้วยตนเอง สุดท้ายคำตอบที่เป็นทางออกก็คือ การย้ายคอกสัตว์เลี้ยงจากฝากถนนหนึ่ง มารวมกันเป็นอาณานิคมสัตว์เลี้ยงของกลุ่ม สามารถตัดปัญหาเรื่องอุบัติเหตุได้อย่างดี
เมื่อเอาโคมาเลี้ยงรวมกันอย่างถาวร จะมีโจทย์ใหม่ๆโผล่ขึ้นมา เช่น เรื่องสถานที่ตั้งความแออัด การสุขาภิบาล การเฝ้าระวังโรคติดต่อ แหล่งน้ำ แหล่งหญ้า อาหารเสริม ทำให้เกิดการจัดการความรู้ระดับชุมชน นับตั้งแต่กระบวนการกลุ่ม การบริหารกลุ่ม การตั้งกติกากลุ่ม การจัดเวรยาม การปลูกหญ้า การปรับปรุงพันธุ์ การเลี้ยงดู การซื้อ/ขาย ปัญหาย่อยเหล่านี้เหล่านี้โผล่มาให้เป็นหัวข้อในการปรึกษาหารือ หลายเรื่องฝากไว้เป็นการบ้านของทุกคน
โจทย์:ในการพัฒนาความรู้และสังคมที่เกิดจากกรณีเผชิญปัญหาแบบสดๆ น่าสนใจมากกว่าที่จะพูดกันเรื่องกี่ห่วงกี่เงื่อนไข พูดและฟังมาร้อยรอบมันก็ไอ้แค่นั้นแหละ..ช่วงที่เราเข้าไปคุยด้วย ก็พอประเมินความคิดและปัญหาของชุมชนได้ระดับหนึ่ง จึงวางแผนที่จะเรียนรู้ร่วมกัน โดยให้การบ้านผู้นำกลุ่มไปรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมา คัดเลือกคนที่จะเอามานอนคุยกันสัก40คน เพื่อที่จะเปิดเรียนวิชาเศรษฐกิจพอเพียงบทที่1 เน้นประเด็นการค้นหาวิธีพึ่งตนเองฉบับท้องถิ่น
สิ่งที่ผู้นำชุมชนโคคอกรวมเสนอก็คือ ..เขาต้องการแท็งค์น้ำ อยากได้ระบบสปริงเกอร์รดน้ำแปลงหญ้า แสดงว่าการที่พึ่งตนเองมาได้ระดับนี้ ยังคิดต่อไม่ได้ว่าจะพึ่งตนเองระยะที่2-3-4 ได้อย่างไร จุดคลิ๊ก! ตรงนี้ละครับ ที่อยากจะให้ครูบาอาจารย์ นักศึกษา นักวิชาการ นักวิจัยลงมาเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน ไม่อย่างนั้นก็จะไปติดยึดในสิ่งที่ทำอยู่ ที่คิดว่าทำแล้ว พอแล้ว ไม่ทราบว่ามีสถาบันไหนสนใจประเด็นนี้ไหมครับ
ผมค้นหาความรู้เพิ่มเติมในบล็อก ได้ข้อมูลบางส่วนมาประกอบการเขียนเรื่องวิกฤตทางความคิดดังนี้...เมื่อทดสอบทักษะการคิด พบว่าเด็กไทย..คิดไม่เป็น!..มีลักษณะการคิดติดกรอบ คิดไม่มีจินตนาการ...นอกจากนี้ยังมีผลการวิเคราะห์สุขภาวะของคนไทยตั้งแต่ปี 2544–2548 ของสภาพัฒน์ฯ ที่พบว่าสุขภาวะของคนไทยอยู่ในระดับต้องปรับปรุง โดยเฉพาะ “ด้านคิดเป็น ทำเป็น
สวัสดีครับ ท่านครูบา
ผมมีความสนใจอยากจะทำงานในชุมชน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรครับ แล้วประเด็นที่ท่านครูบา เสนออ่านดูแล้วน่าสนใจมากครับ อยากจะลงไปศึกษา ผมจะทำอย่างไรครับท่านครูบาถึงจะได้ร่วมงาน ร่วมคิด ร่วมแก้ไขปัญหากับชุมชน
คาราวะท่านครูบาฯ