เคล็ดลับหน้าใสด้วยส้ม
วันนี้มีวิธีสวยแบบง่ายๆ มาฝากสาวๆชาว women mthai กัน แค่มีส้มลูกเดียวก็สวยได้แล้วจ้า….
วิธีทำ
1. เพื่อนหาส้มมา 1-2 ผล แล้วล้างส้มให้สะอาด
2. ปอกเปลือกส้มแล้วแกะเมล็ดออกให้หมด เราก็จะได้ส้มเป็นกลีบๆ พอแกะออกเรียบร้อย
3.นำกลีบส้มมาแปะบนใบหน้า อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดก่อนนะจ๊ะ ผิวจะได้ดูดซึมได้ดีๆ
4. แปะทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีเป็นอันเรียบร้อย
5. เสร็จแล้วก็ใช้น้ำสะอาดล้างหน้าอีกที ควรทำเป็นประจำอาทิตย์ละ 1-2 ก็ได้ค่ะ
………แค่นี้เพื่อนก็จะมีผิวหน้าสวยใสได้แล้วจ๊ะ เพราะในส้มจะมีวิตามินซีอยู่มากมาย ซึ่งเจ้าวิตามินซีเนี่ยจะช่วยให้ผิวหน้าเรากระจ่างใส ได้เคล็ดลับเด็ดๆแล้วอย่าลืมไปลองทำดูนะจ๊ะ ได้ผลยังไงมาบอกกันด้วยน๊า……
ดีใจจังเลยวันนี้ฝนตกด้วยละหลังจากไม่ตกมาหลายวัน ดีเเล้วละที่ฝนตกเพราะได้ข่าวว่าชาวนาปลูกข้าวแล้วข้าวแห้งตายหมดเลย มีข่าวว่าเกิดภัยแล้งในหลายจังหวัด แม่ก็บอกว่าปีนี้แห้งแล้งมากทำให้ข้าวยืนต้นตายกันเยอะ ตกเข้านาของชาวนาให้มากมาย จะได้ทำให้ชาวนาได้ทำนาต่อไป
เช้าวันที่ 25 สิงหาคม 2555 ตื่นขึ้นมาเวลา 05.10 น. ซึ่งตรงกับวันพระและตรงกับวันเกิด เพื่อนพอดี เลยเตรียมของไปทำบุญตักบาตรที่วัดเจริญศรีสุข บ้านโนนสุข ตำบลไร่ใต้ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มจากการหุ่งข้าว เตรียมอาหาร ทั้งของคาว และของหวานที่จะนำไปถวายพระสงฆ์ที่วัด พอเตรียมข้าวของเสร็จ เวลา 06.02 น. เลยไปเตรียมตัวอาบน้ำ แต่งตัวเพื่อเตรียมตัวไปทำบุญที่วัดในเวลา 07.07 น. ต่อไป
เสาร์นี้ฉันไปที่รพสต.ท่าจีน เดินทางโดยรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างแล้วไปต่อเท็กซี่หน้าศาลากลาง พอเปิดประตูรถบอกจุดหมายปลายทางตกลงแล้วจึงเข้าไปนั่งอื้อ.....ต้องขอเปิดกระจกด่วน แท็กซี่ถามว่าเปิดทำไมครับ ฉันตอบทันทีเหม็นเหล้ามาก แท็กซี่ทำท่าค้นที่หน้ารถและบอกว่าไม่มี ฉันพูดว่าสงสัยเป็นกลิ่นผู้โดยสารคนก่อนมั๊งนะ ช่างมันเถอะ ฉันนั่งไปแบบร้อนได้
แท็กซี่บอกว่าผมไม่รู้สึกเลยนะนี่ ฉันตอบว่าคงคุ้นเคยกลิ่น นี่ฉันเสี่ยงพูดให้เขาไม่พอใจนะนี่ นึกได้จึงรีบพูดต่อว่า รถเราก็เป็นเช่นนี้แหละ วันไหนเพื่อนสามีอาศัยติดรถก็จะทิ้งกลิ่นไว้ สามีก็ไม่รู้สึกว่าเหมือนกัน หรือวันไหนซื้อปลาหมึกแห้งเข้าบ้านวันนั้นกลิ่นปลาหมึกก็แตะจมูก โอ..หันไปดูไมค์รถ 56 บาทแล้วยังไปไม่ถึง 1 กิโลเลย นึกในใจ ช่างมัน!นึกแล้วก็สบายใจ วันหลังตื่นให้เร็วกว่านี้ นั่งรถเมล์เอ้อระเหยกินลมท่าจีนไปดีกว่า อิอิ ไปถึงรพสต.ตัวเลขขึ้น 75 บาท แท็กซี่พูดว่าไม่มีเศษสตางค์ทอนนะ ไม่เป็นไร ฉันนึกในใจ ฉันมีเศษเตรียมเรียบร้อย อิอิ ตกลงแท็กซี่ได้แบ้งค์ 50 บาท 1ใบ และเหรียญอีก 25บาท ฉันส่งให้และพูดว่าทีนี้มีเศษเงินทอนผู้โดยสารแล้วนะคะ โชคดีนะคะ ที่งานประชุมผู้สูงอายุเกือบๆร้อยคน หมอเปิ้ลเธอออกมาต้อนรับ ท่าทางวันนี้ฉํนสนุกแน่ เป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉันชอบผู้สูงอายุ และชอบเด็กวัยรุ่นนะ เพราะทำงานได้สนุกมาก ทั้ง 2 กลุ่มนี้ แต่กลุ่มคนทำงาน ฉันต้องเตรียมเทคนิควิชาการ เตรียมให้เขาเยอะๆ เขาชอบคิด สำหรับสองวัยที่ชั้นทำประจำนั้นเน้นกิจกรรม ลงมือทำนำสู่ความรู้ที่เป็นหลักทฤษฎี วิชาการทีหลัง วิชามันๆมาก่อน มันต่างกันตรงนี้เองในความคิดของฉัน อีกอย่างใครบอกว่าผู้ใหญ่สอนยาก ฉันต้องขอคัดหละ ผู้ใหญ่นะมีความพร้อมที่จะทำความเข้าใจสูง อีกอย่างมีภูมิรู้สำเร็จในตัวตนพออยู่แล้ว ขอเพียงเราเข้าถึงจิตใจของผู้สูงวัย สิ่งที่ฉันมองเห็น และได้ถูกขอให้ช่วยนอกเหนือจากกิจกรรมที่ฉํนรับมอบหมายคือการใช้ยางเส้นรอยเป็นเชือก เพื่อออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุนั้นมีแง่ดี ถ้า ผู้สาธิตจะเข้าใจถึงพัฒนาการกล้ามเนื้อและสภาพโครงสร้างของกระดูกของผู้สูงอายุที่มีปัญหา การใช้นิ้วโป้งสวมเข้าไปในห่วงยา ก็อาจมีอันตรายทำให้นิ้วส้นได้ ถ้าท่าทางการบริหารนั้นทำให้ผู้สูงอายุต้องออกแรงมากไปหรือสายยางตึงเกินไป มีอีก 2 ท่าที่ต้องระวัง เมื่อผู้สาธิตพยายามให้ผู้สูงอายุทำคือการก้มตัวแล้วบิดไปข้างๆอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศ๊รษะและหน้ามืดได้ อันที่จริงกายบริหารที่ก๊อปท่าทางมาจากแผ่นซีดี ก็ดีมากนะ แต่ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุทั้งหมด อีกอย่างการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ ฉํนมองว่าควรได้สัมพันธุ์กันระหว่างกายและลมหายใจ สิ่งเหล่านี้ทำผู้สาธิตที่ไม่เข้าใจสภาวะทางกายและจิต เอาแต่ร้องตะโกน เร็วๆๆๆ แรงๆๆๆตกกระป๋องมาแล้ว และดูเหมือนสถานการณ์กำลังจะเป็นเช่นนั้นเมื่อได้ยินเสียงผู้ถือไมค์บอกว่าอสม.ไม่ทันเตรียมตัวมาสาธิต แต่ฉันมองดูแล้วว่าเขามีความพร้อมนะ หากได้เติมเต็มเรื่องของกายลงไป ฐานกายสำคัญนะ.......มีรายละเอียดเกิดขึ้นมากมาย ที่ฉันมองเป็นโอกาสที่จะได้นำมาปรับปรุงงานตัวเอง กิจกรรมที่ฉันได้รับเชิญเป็นเรื่องจิตตปัญญา ที่สะท้อนให้ผู้สูงอายุได้ระลึกรู้ลมหายใจเป็น สัมพันธุ์กับการต่อดำรงชีวิตอย่างเข้าใจและเป็นสุข เสร็จกิจกรรมก็นั่งมอเตอร์ไซด์แล้วมาจับเท็กซี่ที่หน้าการเคหะท่าจีน เข้ารพ.นั่งทำงานเตรียมแผนการประชุมเป็นรอบที่สามแล้ว โดยมีน้องจุ๊ช่วยชี้แนะให้คำปรึกษา เรื่องงานกลุ่ม สิ่งที่ได้จากการทำงานวันนี้ ได้เห็นปัญหาที่นำไปสู่การต่อยอดการทำงานชุมชน ได้คิดหาวิธีและปรับกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย ปรับการทำงาน การเข้าชุมชนควรได้วางแผนเรื่องการเดินทางให้รัดกุม โชคดีชั้นที่สองของวันนี้คือพบน้องโส แม้เพียง 10 นาทีที่ได้คุยกันประสาพี่ๆๆน้องๆๆ ทำให้ฉันมองเห็นช่องทาง การทำงานที่จะเสริมพลังบวกให้ตัวเอง ได้เข้มแข็งและช่วยงานชุมชนสังคมได้อย่างเข้าใจมากยิ่งขึ้น ขอบคุณแรงบันดาลใจ และพลังแห่งรักทีพ่อแม่มอบให้เป็นสมบัติติดตัวขอบคุณความเมตตา กรุณา และความปรารถนาดีที่ไม่จืดจาง จากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ขอบคุณครอบครัวที่รักที่ให้โอกาสฉันได้โลดแล่นไปอย่างมีสติและมีคุณค่าและขอบคุณชุมชนที่ได้ให้ความไว้วางใจ ต้อนรับฉันเป็นอย่างดียิ่ง ท้ายที่สุดขอบคุณที่ให้คำสัญญาว่าจะดูแลกายใจของตนเองและจะทำตามคำแนะนำที่ให้ไว้
คนที่ป่วยไม่สบายกำลังใจนั้นสำคัญที่สุดที่จะคอยเยียวยาหรือเป็นยาขนานดีที่จะรักษา
เช้าวันที่ 18 มกราคม 2555 นี้ ผู้เขียนมีแรงจูงใจที่ทำให้ต้องเขียนอนุทิน ซึ่งปกติไม่ค่อยได้เขียน แรงจูงใจที่ว่า เกิดจากการได้พบกับปรากฏการณ์ที่ผู้เขียนมองว่า "เป็นเรื่องแปลก" เพราะผู้เขียนได้เขียนบันทึกใน GotoKnow.org มาจน ณ วันนี้เข้าเดือนที่ 11 ยังไม่เห็นบันทึกไหนที่มีกัลยาณมิตรเข้ามาอ่านมากเช่นนี้
ในรอบ 11 เดือนเศษ ผู้เขียนได้สร้าง Blog 5 Blogs เขียนบันทึกมารวม 14 เรื่อง เฉลี่ยประมาณเดือนละ 2 เรื่อง 1) "Pridetoknow" ใช้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรแบบพอเพียง เขียนบันทึกมา 7 เรื่อง เรื่องที่มีคนอ่านมากที่สุด 7 เดือนมีคนอ่าน 618 คน 2) Learntoknow ใช้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดและประสบการณ์ในการจัดการศึกษา เขียนบันทึกมา 3 เรื่อง เรื่องที่มีคนอ่านมากที่สุด 5 เดือนมีคนอ่าน 1,108 คน 3) Mantoknow ซึ่งเพิ่งสร้างได้เดือนเดียว ใช้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ เขียนบันทึกมา 2 เรื่อง เรื่องที่มีคนอ่านมากที่สุด 1 เดือนมีคนอ่าน 585 คน 4) Let's Learn English by the Situation Together ใช้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตามสถานการณ์ เขียนบันทึกมา 4 เรื่อง เรื่องที่มีคนอ่านมากที่สุด 21 วันมีคนอ่าน 527 คน และ 5) Goaltoknow ใช้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามแรงบันดาลใจทางสังคม ก่อนนี้เขียนบันทึกมา 7 เรื่อง เรื่องที่มีคนอ่านมากที่สุด 9 เดือนมีคนอ่าน 1,135 คน ซึ่งเป็นบันทึกของผู้เขียนที่มีคนอ่านมากที่สุด เป็นเรื่องที่เขียนจากแรงบันดาลใจที่มีเหตุการณ์นักเรียนม.6 ที่ร้อยเอ็ดฆ่าตัวตาย
และในบันทึกเรื่องที่ 8 ใน Blog "Goaltoknow" ซึ่งลงยังไม่ครบ 3 วันดี คือเรื่อง "เด็กวอนสอนผู้ใหญ่ : วันเด็ก/วันครู ปี 2555" ลง 15 มกราคม 2555 เวลา 10.31 น. เมื่อวานนี้ช่วงบ่ายผู้เขียนเห็นมีคนอ่านสองร้อยกว่า พอหัวค่ำเห็นคนอ่านเพิ่มเป็นห้าร้อยกว่า ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจและไม่แน่ใจว่าระบบบันทึกข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือเปล่า เพราะไม่เคยเห็นบันทึกไหนของผู้เขียนที่มีคนอ่านเพิ่มเร็วขนาดนี้ ยิ่งพอผู้เขียนลุกขึ้นมาเช้าวันนี้ เวลาประมาณ 05.10 น. ซึ่งยังไม่ครบ 3 วันดี พบว่ามีผู้อ่านมากถึง 2,621 คน ทำให้ผู้เขียนยิ่งงงใหญ่ ว่าเป็นไปได้อย่างไร หวังว่าคงจะไม่เกิดจากระบบ Error นะคะ ถ้าเป็นข้อมูลจริง ก็ต้องขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน ที่กรุณาเข้ามาอ่าน ผู้เขียนคงต้องบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ เพื่อเป็นกำลังใจในการเขียนบันทึกเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกัลยาณมิตรผู้มีไมตรีจิต ต่อๆ ไปค่ะ
ค่ำนี้ ได้อ่านอนุทินของน้องสุภัทรา เล่าถึงอาการหอบที่เนื่องมาจากหวัดของคุณแม่ของเธอ ทำให้ได้ความรู้ว่า อาการหอบสืบเนื่องมาจากการเป็นหวัด
ย้อนกลับมาดูตัวเอง ซึ่งได้รับเชื้อหวัดมาจากลูกสาวตอนที่ไปเกาหลี สองวันแรกไม่เป็นอะไร วันที่สามเริ่มมีอาการจามและน้ำมูกไหลไม่หยุดจนต้องขอยาลดน้ำมูกจากลูกมากิน (ปกติเวลาป่วยจะไม่กินยา/หาหมอ ปล่อยให้หายเอง) อาการแสดงออกมากในวันที่จะเดินทางกลับ ตอนกลับถึงกทม.วันที่ 29 พ.ค.มีอาการหายใจหอบ ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ก็เคยเป็นไข้หวัด และยิ่งตอนที่เดินจากจุดเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิไปรอขึ้นเครื่องกลับอุบลฯ ในวันที่ 30 ซึ่งต้องเดินไกลมาก ก็ยิ่งหอบมาก กลับถึงอุบลฯ ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะแค่เดินไม่กี่เมตรก็หอบเลยนอนอย่างเดียว ช่วงบ่ายแก่ๆ ตื่นขึ้นมาพบว่าอาการหอบหายแล้ว เลยไปตลาดซื้อกับข้าวมากิน หลังจากที่ไม่ได้กินมาตั้งแต่เที่ยงวันที่ 30
ช่วงนี้เดินทางบ่อยมาก ในรอบสองสัปดาห์ขึ้นเครื่อง 8 เที่ยว และใช้แรงเดินขึ้นเขาทั้งตอนที่ไปเที่ยวเชียงใหม่และเที่ยวเกาหลี กลางคืนก็นอนน้อยร่างกายเลยอ่อนแอสู้กับโรคไม่ไหว ถ้าอยู่ที่ฟาร์มไอดินฯ หรือบ้านเรือนขวัญ ในแต่ละมื้ออาหารจะทานพืชผักสมุนไพร 80 % ทานโปรตีน 20 % ทำให้พร้อมสู้โรค แต่อยู่ที่เกาหลี 4 วันเต็มๆ อาหารเป็นเนื้อสัตว์ 85 % ผัก 15 % ร่างกายคงจะปรับตัวไม่ได้
คืนนี้ก็คงจะต้องนอนน้อย เพราะมีงานค้างที่ไม่มีแรงทำส่งในวันที่ 30 ตามที่แจ้งคณะไว้ และพรุ่งนี้ก็เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน ซึ่งเริ่มด้วยการประชุมของมหาวิทยาลัยในภาคเช้า และเริ่มการเรียนการสอนในภาคบ่าย