ดอกไม้


ราเชนทร์ โจครับ
เขียนเมื่อ

ประสบการณ์และความรู้สึกจากการไปสนทนากับชาวต่างชาติ

     เรื่องเกิดวันอาทิตย์ ที่ 5 สิงหาคม 2555 เวลาประมาณ 18.00 น. ครับ รวมกลุ่มกันได้ก็มุ่งหน้าไปที่ทุ่งศรีเมืองครับ ตอนนั้นตัดสินใจเป็นไงเป็นกันเราจะต้องกล้า เราต้องหน้าด้านและแล้วก็เจอกับชาวต่างชาติ...

  • คนแรกผ่านไป(คงจะเจออีกแน่ 555+)
  • คนที่สองผ่านไป(เออก็ยังมองเห็นอยู่)
  • คนที่สามก็ผ่านไป(เริ่มหัวเราะไม่ออกแล้วครับ)
  • เพื่อนๆครับใกล้จมืดแล้วนะครับ
  • ตัดสินใจคนนี้ล่ะครับ(ยังไม่กล้าอีก)ถอยตั้งหลักก่อนครับ
  • ในที่สุดก็เจอครับ...กลุ่มเราจัดเต็มครับ(ได้แล้ว)
  • (ยังไม่พอใจ)สัมภาษณ์ชาวต่างชาติคนที่สองครับ

    อะไรจะขยันขนาดนั้น...ความรู้สึกทั้งกล้าๆกลัวๆครับแต่ก็เพราะมีเพื่อนๆในกลุ่มที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันครับ(น่ารักกันทุกคนเลย)...สนุกครับอย่างน้อยเขาก็พอจะฟังเราออกบ้างหรือปล่าว แต่ยังไงก็คุ้มค่ามากครับกับประสบการณ์ในครั้งนี้

8
4
04 บัญชร ศรีวินัย
เขียนเมื่อ

     ประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้ไปสัมภาษณ์กับชาวต่างชาติ  เมื่อวันที่  2  เดือนสิงหาคม  พ.ศ  2555  เวลา  19.00  น.  ที่ทุ่งศรีเมือง  ณ  ลานศาลหลักเมือง  จังหวัดอุบลราชธานี

     จากข้อมูลที่ข้าพเจ้าได้ไปสัมภาษณ์กับชาวต่างชาติ  โดยสัมภาษณ์กับ  Mr.Jane เขาเป็นชาวอเมริกา  มาเที่ยวจังหวัดอุบลเป็นครั้งแรก  รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้มาเที่ยวประเทศไทย  โดยเฉพาะงานแห่เทียนจังหวัดอุบล  โดยเขาคิดว่างานแห่เทียนที่นี่สวยงามมาก  และรู้สึกสนุกที่ได้ดูสิ่งต่าง ๆ ในงานแห่เทียน  เขาชอบเมืองไทยมาก  เขามาพักที่  UBON  HOTEL  ได้ประมาณ 2  อาทิตย์แล้ว  เข้าได้ไปเที่ยวสถานที่จังหวัดอุบล  ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย  อีกสองวันก็จะเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดมหาสารคาร  และเขายังบอกอีกว่าอาจจะอยู่เมืองไทยอีกหลายเดือนอยู่เหมือนกัน  เพราะสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก

     ประสบการณ์ที่ได้ไปพูดคุยกับชาวต่างชาติในครั้งนี้  ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นมากและประทับใจเป็นอย่างมากที่ได้พูดคุยกับชาวต่างชาติ  เพราะเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ได้ไปพุดคุยกับชาวต่างชาติ  ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้ากล้าแสดงออกมากขึ้น

4
3
03 ฤทธิพร คุณารักษ์
เขียนเมื่อ

การเรียนในรายวิชา พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน ทำให้ผมมีความรู้ในหลายด้านที่อาจารย์ได้สอน รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม เเสดงความคิดเห็นในเรื่องราวต่างๆ เเละได้เห็นความสำคัญในด้าน IT ก็ขอขอบพระคุณอาจารย์ วิไล เเพงศรี ที่ให้ความรู้กับลูกศิษย์เป็นอย่างดี ผมจะนำความที่ได้กับอาจารย์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันครับ

4
1
03 หทัยกาญจน์ เกาะแก้ว
เขียนเมื่อ

การที่ดิฉันได้ไปสนทนากับชาวต่างชาติ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2555 เวลา 16.00 น. เป็นต้นมา

   ตอนแรกดิฉันได้นัดหมายกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม 4 คน ว่าจะไปสนทนาในวันที่ 2 สิงหาคม 2555 และไปในเวลาประมาณ 16.00 น. โดยนัดเจอกันที่ศาลหลักเมืองอุบลราชธานี ตอนนั้นที่เพื่อนบอกว่านัดตอนเวลา 16.00 น. กว่าจะสัมภาษณ์ชาวต่างชาติเสร็จ มันจะค่ำมากไปมั้ย เพราะวันนั้นดิฉันจะต้องกลับบ้าน แถมเพื่อนๆ อาจจะติดธุระ และพอดิฉันมาถึงทุ่งศรีเมืองก่อนเพื่อนๆ ตอนนั้นเวลาประมาณ 15.30 น. ดิฉันจึงนั่งรอเพื่อนอยู่ม้านั่งแถวๆ ศาลหลักเมือง พอนั่งได้สักพัก แล้วหันไปดูนาฬิกาปรากฏว่าเวลามันถึง 16.01 น. แล้วนี่ จึงโทรศัพท์ตามเพื่อนๆ ทั้ง สามคน ให้รีบมาที่จุดนัดหมายและแล้วเวลาก็เลยไปถึง 16.25 น. ก็โทรแล้วโทรอีกจนกว่าสมาชิกจะมากันครบทุกคน กว่าจะได้สัมภาษณ์ชาวต่างชาติเวลาก็ปาไปถึง 16.30 น.แล้ว 
   ดังนั้น ทุกคนในกลุ่มจึงเตรียมการวางแผนว่า จากการเตรียมประโยคหรือบทสนทนาว่าใครจะเป็นคนพูดประโยคไหน และทำการซ้อม และหลังจากการเตรียมการเรีบยร้อยแล้ว จึงดำเนินการก็เพื่อกันเดินออกหาชาวต่างชาติ สักพักก็ไปเจอ ชาวต่างชาติ คนที่ 1 พวกเราก็เข้าไปทักทาย ว่า What is your name ? เขาตอบกลับมาว่า 

My name is. Mr. John ซึ่งเขาเป็นคนฝรั่งเศสพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย เช่น การทักทายง่ายๆ แต่เขาก็อยากที่จะให้เราสัมภาษณ์เขา หลังจากนั้นพวกเราก็ตั้งหลักกันใหม่ ตอนนั้น เวลาก็ปาไปประมาณ 17.15 น. แล้ว ฝนก็ทำท่าว่ากำลังจะตกอีกด้วย พวกเราจีงพากันเดินไปหาที่สงบๆ ไม่มีเสียงดังจนเกินไป และแล้วหลังจากนั้นไม่นานก็มีชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี พวกเราจึงเข้าไปทักทายว่า What is your name ? และเขาก็ตอบกลับมาว่า My name is. Mr. Ero ตามด้วย Where are you from?
I am from is. Belgium. และเพื่อนก็ทำการสัมภาษณ์ชาวต่างชาติต่อไป จนครบทุกคนแล้ว พวกเราก็กล่าวขอบคุณ ที่ได้สระเวลามาให้พวกเราสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ซึ่ง Mr. Ero เขาเป็นคนใจดีมากๆ เป็นเองเขาสามารถพูดภาษาไทยได้นิดหน่อยเขามดูางานแห่เทียนพรรษาทุกปี เขาบอกอีกด้วยว่าเขาชอบอาหารไทย เช่น ส้มตำ อาหารปักษ์ใต้ และอีกมากมาย การที่ดิฉันได้ไปสนทนากับชาวต่างในครั้งนี้ ทำให้ดิฉันมีความกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดทักษะ และประสบการณ์อย่างหามิได้

5
2
ไอดิน-กลิ่นไม้
เขียนเมื่อ

"อยากเก็บงานเขียนดีๆ ไว้อ่าน และบอกผ่านไปยังผู้ที่สนใจ"

     หลังจากที่ผู้เขียนได้อ่านบันทึกของ "คุณสามสัก" เรื่อง "๔๖.ปู....นางฟ้าผู้อารี หรือนักฆ่านัยตาหวาน ????" ที่สร้างในวันที่ 9 กันยายน 2555 (http://www.gotoknow.org/blogs/posts/501708) ผู้เขียนได้แสดงความเห็นไว้ ดังนี้

    • อ่านบันทึกนี้ในเวลาที่ควรนอน ตอนเกือบตีสองหลังตรวจงานนักศึกษา

  • ชอบบันทึกนี้มากๆ เลยค่ะ

  • อ่านแล้วได้ความรู้ว่า ต้นที่ขึ้นเยอะมากที่ฟาร์มไอดิน-กลิ่นไม้และถอนทิ้งประจำเรียกว่า "ต้นสาบแมว" เคยถ่ายรูปตอนที่เขาขึ้นเต็มสวนกล้วยและออกดอกเต็มสวยเหมือนกันค่ะ

  • ได้รู้จัก "แมงมุมปู (Flower Crab Spider)" ซึ่งรู้สึกว่าจะไม่พบแถวฟาร์มไอดินฯ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการหาอาหารของแมงมุมดังกล่าว

  • ได้เรียนรู้ว่า คุณสามสักมีความรู้เกี่ยวกับแมลงศัตรูพืชเป็นอย่างดี เป็นคนละเอียดอ่อน ช่างคิด และมีความคิดลึกซึ้ง จะเห็นได้จากการนำวิถีชีวิตของสัตว์มาเปรียบเทียบกับคนไทย ที่อยากให้คนไทยทั้งประเทศได้อ่านอย่างมีสติตระหนักรู้ จะได้ไม่หลงระเริงดังเช่นผึ้งที่หลงใหลในความงามและน้ำหวานของดอกสาบแมว

  • "คุณสามสัก" ทิ้งท้ายในบันทึกดังกล่าว ไว้ดังนี้   

    เฮ้อ..ช่างแสนเวทนาแมงมุมปูวัยเด็กและสงสารผึ้งตัวนั้นจริงๆ.......พอๆ กับการสงสารตัวเอง สงสารอนาคตของลูกหลานไทย .. ที่ถูกภาครัฐ กำลังเพาะบ่มพฤติกรรม "รอแลกแจกแถม อย่างไม่เห็นคุณค่า...ถูกหลอนให้หลงใหลได้ปลื้มกับความสุข ความสบายภายใต้นโยบายประชานิยมที่ขาดความสมเหตุสมผลที่ดี ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น มากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว..เพราะรายได้ของประเทศ ได้ถูกนำเอามาใช้เพื่อเอาอกเอาใจประชาชน ให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง..จนกระเป๋าของชาติฉีกขาดอย่างต่อเนื่องยาวนาน ..

    เมื่อไม่มีก็ต้องกู้ ..หนี้เก่าเมื่อปี ๒๕๕๔ จำนวน ๔.๒๘ ล้านล้านบาท มาปีนี้ คงมีหนี้สะสมไม่น้อยกว่า ๕ ล้านล้านบาท.. ในขณะที่ทรัพยากรชาติ ก็ถูกล้าง ถูกผลาญ..ควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของหนี้สินภาคครัวเรือน จาก ๘ หมื่นบาทเศษ เป็น ๑๓๖,๕๖๒ บาทต่อครัวเรือน ในเวลาเพียงไม่กี่ปี..

    คนไทย จึงไม่ต่างกับผึ้งที่ถูกหลอนให้หลงระเริงกับความหวานและความสวยงามของดอกสาบแมว.รอเวลาที่จะถึงกาลเสื่อมถอย..แตกดับ...

    ในขณะที่ลาว พม่า เวียตนาม (เวียดนาม).. ซุ่มซ่อนลับคมเขี้ยวทางปัญญาให้แก่พลเมือง ให้รู้จักตนเองและก้าวเท่าทันโลกอย่างมั่นคง..พร้อมที่จะแซงพี่ไทย..ที่หลงระเริงความหวาน จนจะเป็นโรคเบาหวาน..ได้อย่างไม่ยากเย็น...

  • ถ้อยคำทิ้งท้ายของ "คุณสามสัก" ดังที่ยกมา ตรงใจผู้เขียนยิ่งนัก ที่รู้สึกนึกคิดเยี่ยงเดียวกัน ด้วยความห่วงใยใน "หายนะของชาติ" แต่ไม่อาจเขียนออกมาเป็นถ้อยคำ เมื่อได้พบกับงานเขียน "ค่าล้ำ" จึงขอนำมาบอกต่อ ขอให้คนไทยได้นำมาคิดไตร่ตรองกันดู จะปล่อยให้บ้านเมืองก้าวไปสู่หายนะเช่นนี้หรือไฉน...

     

30
6
03 อรดี ลีลาศ
เขียนเมื่อ

        เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. ดิฉันและเพื่อนๆก็ได้ไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่ได้เดินทางมาเที่ยวชมงานแห่เทียนพรรษา ณ บริเวณทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี  ดิฉันและเพื่อนๆก็ได้เดินหาชาวต่างชาติ และวันนั้นดิฉันและเพื่อนๆก็ได้เห็นชาติต่างชาติคนหนึ่ง ดิฉันและเพื่อนๆก็ได้เข้าไปทักทายและขอสัมภาษณ์ เขาชื่อว่า Tony เขามาจากประเทศ England เขาเป็นคนอัธยาศัยดีมาก ให้เกียรติและให้ความร่วมมือดิฉันและเพื่อนๆเป็นอย่างดี และเขายังบอกอีกว่า เขาชอบมาเที่ยวเมืองไทยและมีความสุขมากในการมาเที่ยวชมงานแห่เทียนในปีนี้ 

       ในการไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติในครั้งนี้ ดิฉันมีความประทับใจและก็มีความตื่นเต้นมาก จนทำให้ดิฉันมีความกล้าที่จะแสดงออกและกล้าพูดคุยกับชาวต่างชาติ และการไปสัมภาษณ์ในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้ไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติ จนทำให้ดิฉันคิดว่าการจะพูดคุยกับชาวต่างชาตินั้นมันไม่ยากอย่างที่เราคิด

4
4
03 ภัทรา ป้องกัน
เขียนเมื่อ

        วันพฤหัสบดี ที่ 2 สิงหาคม 2555 ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์เก็บข้อมูลชาวต่างชาติในงานเข้าพรรรษาของจังหวัดอุบลราชธานีที่ได้จัดขึ้น เนื่องจากเป็นงานที่อาจารย์บังคับให้ทำส่ง โดยถ่ายคลิปวีดีโอเป็นหลักฐาน และต้องนำส่งอาจารย์ด้วย ทำให้รู้สึกเหนื่อย และลำบากใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบฝรั่งสักเท่าไรนัก เมื่อกลุ่มของพวกเรามาครบกันแล้ว แต่มีสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนคือ ข้าพเจ้าต้องเป็นคนแรกที่ต้องกล่าวทักทายชาวต่างชาติ โดยที่ไม่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า เนื่องจากเพื่อนในกลุ่มที่ต้องพูดคนแรกนั้นบอกว่า "ไม่พร้อม""ตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ต้องมีหนึ่งคนที่ต้องพูดประโยคแรก ซึ่งเป็นประโยคที่ยาวมาก เพื่อนๆจึงยกหน้าที่นี้ให้ข้าพเจ้า  ตอนนั้นไม่รู้สึกโกรธเพื่อนๆ แต่กลับรู้สึกว่าต้องพยายามทำให้ได้ สุดท้ายแล้วข้าพเจ้าก็สามารถทำให้ชาวต่างชาติที่กลุ่มสุ่มมาสัมภาษณ์เข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าหวัง และเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งสำหรับตัวข้าพเจ้าเอง โอกาสในครั้งนี้สร้างประสบการณ์ชีวิตที่ดีให้กับตัวข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก ประสบบการณ์ครั้งนี้จะเป็นขั้นบันไดแรกที่จะต้องก้าวต่อไปให้ดีกว่าเดิม

3
1
03 ปฐมพงศ์ ศุภโกศล
เขียนเมื่อ

 

วันนี้จะมากล่าวถึงประสบการณ์การไปสนทนากับชาวต่างชาติ 

ผมและเพื่อน ๆ ได้ไป 2 วัน คือวันที่ 2 สิงหาคม และ วันที่ 3 สิงหาคม

วันที่ 2 สิงหาคม

พยายาม ตามหาศิลปินชาวต่างชาติที่มาแกะเทียนนานาชาติตามโจทย์ที่อาจารย์ได้ให้มา แต่ หายังไม่ก็ไม่เจอ จึงได้สอบถาม ประชาสัมพันธ์ เขาจึงชี้แจงว่า ในวันที่ 2 ทางจังหวัดอุบลได้ศิลปินแกะสลักเทียนไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดอุบลจะกลับมาอีกทีก็เช้าวันที่ 3 เลยทำให้งานในวันที่ 2 ไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย

วันที่ 3 สิงหาคม

พยายามตามหา และรอศิลปินชาวต่างชาติ จนถึงเที่ยวก็ไม่มีวี่แวว เลยให้เพื่อนในกลุ่มโทรปรึกษาอาจารย์ว่าไม่สามารถตามหาศิลปินตามโจทย์ได้ เลยขอเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป หลังจาก ขอได้แล้ว ก็ ได้ เดินตามหากัน ราว ๆ 3 ชั่วโมง ไม่มี ชาวต่างชาติคนใด ให้สัมภาษณ์ เลยแม้แต่คนเดียว หลังจากที่จะหมดความหวัง ก็ มีความโชคดี หลังจากนั่งรอ กันเตรียมแยกย้าย  ศิลปิน ชาวต่างชาติ ก็ได้กลับมาที่ งาน เพื่อที่จะดู เทียนของตัวเอง ทั้งเพื่อน ๆ และ ผม จึงได้สัมภาษณ์ ตามโจทย์เดิมที่อาจารย์ตั้งไว้

ความรู้สึกและประสบการณ์การไปสนทนากับชาวต่างชาติ

โดยร่วม มีความสนุกดีครับ ศิลปินที่ไปสัมภาษณ์ก็ให้คำตอบในสิ่งถามได้ครบถ้วน ให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เขาสื่ออกมาในผลงาน ว่าแต่ละส่วนสื่อถึงสิ่งใดบ้าง แม้จะฟังออกบ้างไม่ออกบ้างครับ แต่ก็สนุกกับการได้สนทนากับ คุณ บ๊อกแดน เอเดรียน เลฟเตอร์ แต่ ที่ ไม่ค่อยเข้าใจคือ คติที่ชาวต่างชาติมองเรา จากการที่ไปขอสัมภาษณ์ เขาพยายาม ไม่สนใจคำพูดเรา เลย เลยคิดได้ว่า ไม่ใช่แค่ คนไทยเท่านั้นที่กลัวการสนทนากับชาวต่างชาติ แต่ ชาวต่างชาติก็กลัวที่จะสนทนากับคนไทยเหมือนกัน 

 

โดย วันที่ได้สัมภาษณ์คือวันที่ 3 สิงหาคม  2555

เวลา 17.12 

โดยศิลปินที่ผมได้ไปสัมภาษณ์คือ คุณ บ๊อกแดน เอเดรียน เลฟเตอร์

เป็นศิลปินชาว โรมาเนีย ครับ 

โดยชื่อผลงานของเขาคือ ดวงดาวแห่งชีวิต

5
1
03 กิตติพร วงศ์คูณ
เขียนเมื่อ

วิธีเพิ่มความจำดี ๆ 10 วิธีมาบอกเพื่อนๆกัน

  1. ออกกำลัง การออกกำลังแบบแอโรบิค หรือออกกำลังต่อเนื่อง เช่น วิ่งเหยาะ (จอกกิ้ง) ฯลฯ นาน 20-30 นาที อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์

  2. ฝึกคลายเครียด (relaxation) การฝึกสมาธิ ไทเกก (ชี่กง - ไทจี้) โยคะ ซึ่งช่วยทำให้การหายใจเข้า - ออกช้าลงอย่างน้อยวันละ 10 นาที

  3. ฝึกแสดงความชื่นชม (appreciation/ "แอพพรีชิเอ๊เชิ่น") การแสดงความชื่นชมควรเน้นที่การกระทำ ไม่ว่าใครทำอะไรดีๆ ควรแสดงความชื่นชมเสมอ เพื่อฝึกการมองโลกในแง่ดี คนที่ต้องชื่นชมก่อนคนอื่นทั้งหมดคือ ชื่นชมตัวเราเองเวลาเราทำอะไรดี ๆ และชื่นชมคนรอบข้าง

  4. หาเครือข่ายสังคม (social network) เครือข่ายสังคมดีๆ ช่วยให้เรามองโลกในแง่ดี และช่วยเหลือเกื้อกูลกันไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุข จึงควรเลือกคบเพื่อนดี ๆ ญาติดี ๆ และเครือข่ายสังคมดี ๆ เช่น เครือข่ายพวกเราบน Gotoknow ฯลฯ

  5. ใช้ปฏิทินวางแผน ว่าจะทำอะไรก่อนหลังลงบนปฏิทิน อย่าปล่อยให้เรื่องวุ่น ๆ รกสมองจนล้นทะลัก

  6. ลำดับความสำคัญ (list) เขียนไปเลยว่า จะทำอะไรก่อน - หลังอะไรสำคัญ - ไม่สำคัญ แบ่งเป็น 4 ช่อง และเลือกทำสิ่งที่รีบด่วน + สำคัญก่อนเสมอ

  7. ให้รางวัลตัวเองบ้าง เวลาเราทำอะไรดี ๆ สำเร็จ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ควรฝึกให้รางวัลตัวเองบ้าง ผู้เขียนมักจะให้รางวัลตัวเองด้วยการกล่าว "สาธุ สาธุ สาธุ" กับตัวเอง หรือเดินเล่น (10-120 นาที)

  8. เลือกแต่สิ่งดี ๆ (prioritize) เวลาไปงานหรือพบปะคนมาก ๆ ไม่จำเป็นต้องจำคนทุกคนให้ได้ เช่น ถ้าพบคน 25 คน เลือกจำคนดีๆ ที่ควรคบ 5 คนก็พอ ฯลฯ

  9. นอนให้พอ คนส่วนมากต้องการนอนวันละ 7 ชั่วโมง (แต่ละคนไม่เท่ากัน) ลองสังเกตดูว่า นอนเท่าไหร่ที่จะทำให้สดชื่น และไม่ง่วงตอนบ่าย ๆ แต่อย่านอนเกินวันละ 9 ชั่วโมง... การนอนมากเกินทำให้อัตราตายจากโรคต่าง ๆ เพิ่มขึ้นได้

  10. ข่าวดี คือ ไม่มียาหรืออาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มความจำได้ แม้แต่โสมก็ไม่ช่วย มีแต่ "ซองใส่ยา" หรือรองเท้าดี ๆ สักคู่ ใส่มันเดินมาก ๆ วิ่งมาก ๆ ซองใส่ยานี้อาจช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ในระยะยาว

ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดี และมีความจำดีไปนาน ๆ

 หวังว่าผู้ที่เข้ามาอ่านจะนําเอาไปปฏิบัติกันนะค่ะ

6
2
03 กิตติพร วงศ์คูณ
เขียนเมื่อ

แม่คือผู้ให้คําว่าแม่ยิ่งใหญ่มากสําหรับลูกทุกคน

แม่คือผู้เสียสละส่วนตนเพื่อลูกทุกคนคอยดูแลเอาใจใส่ประคบประหงมลูกจนเติบโตความรักของแม่ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์และสังคมไทยมักพูดถึงแม่ในฐานะของผู้รักลูกยิ่งกว่าชีวิตพร้อมที่จะลําบากเพื่อลูกโดยไม่สํานึกเสียใจเพื่อให้ลูกได้ทุกอย่างดังใจปองของลูก

วันแม่ปีนี้ก็อยากเขียนบทความเกี่ยวกับแม่ให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะค่ะ

แม่กลั่นเม็ดเลือดเม็ดน้อยนับร้อยหยด

จนปรากฎเป็นหยดนมรสกลมกล่อมให้ลูกดื่ม

เพื่อหล่อเลี้ยงทารกน้อยค่อยอดออม

และเฝ้าถนอมฟูมฟักรักเมตตา

วันเปลี่ยนเดือนเปลี่ยนเดื่อนหมุนเคลื่อนคล้อย

      จากเด็กน้อยเริ่มมีแรงแข็งกล้า

        ค่อยสอนดินสอทําสอนคําจา

      สอนปัญญาสอนวิชาสารพัน

   ทารกน้อยวันนี้เห็นเป็นผู้ใหญ่

    แม่ภูมิใจอันผลงานการสร้างสรรค์

   ความเหน็ดเหนื่อยกายใจหายไปพลัน

      เมื่อถึงวันที่ลูกได้รับปริญญา 

วันนี้ลูกของแม่สุขถ้วนทั่ว

  มีครอบครัวอยู่ร่มเย็นเป็นฝั่งฝา

แม่คนนีย่างเข้าสู้วัยชรา 

รอเวลาสู่กองฟอนตอนสิ้นใจ

อยากให้ทุกคนบอกรักแม่ในวันแม่แห่งชาตินี้กอดแม่หอมแก้มแม่เพื่อแสดงความรักมอบให้กับแม่ของเรานะค่ะ

 

6
1
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท