เรียนท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่าน
บทความเรื่องนี้มี 4 ตอนค่ะ ตอนที่ 1 นำเรื่อง ตอนที่ 2 วิชาครอบครัวศึกษา ตอนที่ 3 วิชารู้เท่าทัน ตอนที่ 4 วิชาภูมิปัญญาไทย (จบ) เพื่อความต่อเนื่อง และอารมณ์ที่ไม่ขาดตอน โปรดอ่านเรียงตอนตามลำดับนี้ ดิฉันขออภัยที่เขียนยาวๆ นิสัยนี้รักษายาก และแก้ไม่หายสักที หากท่านกรุณาอ่านไปจนจบบทความนี้ได้ ดิฉันขอขอบพระคุณ และหากท่านรู้สึกว่ายาว และอาจอ่านไม่จบ ดิฉันก็ขอขอบพระคุณด้วยความรู้สึกเข้าใจเช่นกันค่ะ ขอบพระคุณค่ะ : )
สามวิชา...ที่ครูยุคหลังปฏิรูปการศึกษา ต้ อ ง รี บ ส อ น !
: วิชาครอบครัวศึกษา
วิชาครอบครัวศึกษา โปรดเริ่มต้นที่ตัวท่านเอง ใช่แล้ว เริ่มต้นที่ทุกท่านที่กำลังอ่านบทความนี้ และหากท่านเป็นครู ไม่ว่าท่านจะสอนระดับใดอยู่ในสถาบันใดก็ตาม อย่าได้หันหน้าไปมองหาใครอีก ท่านคืออีกหนึ่งความหวังของชาติ เป็นความหวังของปราชญ์ของแผ่นดินเราด้วย ก็เมื่อเราได้เห็นกันแล้วว่าหน่วยย่อยที่สุดที่ยึดเหนี่ยวความเป็นชาติที่เข้มแข็งมั่นคง คือสถาบันครอบครัว ก็เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะสร้างและรักษาไว้ให้สุดกำลัง สุดความสามารถทั้งหมดที่มี
และแม้ว่าท่านจะไม่ใช่ครู ก็ขอได้โปรดอย่าได้ปฏิเสธหน้าที่นี้ การสร้างจิตสำนึกในความเป็นพ่อแม่ที่ดีต้องช่วยกันปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็ก แม้เราจะเล็งผลเลิศร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ แต่หากละเลยเพิกเฉยกันทั้งชาติ ก็จะพังร้อยเปอร์เซ็นอย่างที่เห็นและเป็นอยู่
วิชาครอบครัวศึกษา ควรเป็นวิชาสอนคนให้เป็นพ่อแม่และลูกที่ดี โดยย้ำความเป็นพ่อ และแม่ที่ดี
คำกล่าวที่ว่า “พ่อแม่ คือ ผู้นำเสนอโลกแก่ลูก” ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก เป็นถ้อยคำที่ลึกซึ้ง แยบคาย และจับใจมิใช่น้อย
แต่เดิมโรงเรียนจะสอนแต่ความเป็นลูกที่ดี เพราะเราไม่สามารถปิดล้อมจับเอาพ่อแม่ตัวโตๆมานั่งอบรมความเป็นพ่อแม่ที่ดีได้ แต่หากเราเปลี่ยนวิธีคิดนิดเดียว เราก็จะผลิตซ้ำคำสอนและวิธีสอนที่แยบคายให้พ่อคุณแม่คุณตัวเล็กๆที่นั่งสลอนอยู่ตรงหน้าเหล่านี้ เติบโตขึ้นเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ดีในวันหน้าได้ ถ้าเพียงแต่ครูและอาจารย์ทั้งหลายตั้งใจจริง
เราต้องหากลวิธีอันลึกซึ้ง ที่จะสอนให้เด็กๆทั้งหลายได้เห็นกระจ่างชัดว่าการเป็นพ่อและแม่ที่ดีนั้น ต้องตั้งใจ ต้องเตรียมตัว มิใช่คิดแล้วทำเลย ชีวิตจริงๆไม่ง่ายอย่างนั้น และไม่ใช่ด้วยวิธีการไต่บันไดสำเร็จรูปเหมือนการศึกษาในชั้นเรียน
วิชาความเป็นพ่อแม่ลูกที่ดี หรือวิชาครอบครัวศึกษานั้น เปิดหนังสืออ่านได้ แต่เปิดหนังสือสอนไม่ได้ วิธีสอนที่น่าจะใช้ได้ผลที่สุดก็คือ ในแต่ละครั้งที่ครูเข้าสอน ลองหาโอกาสทองให้เหมาะตามภาวะในห้องเรียน แล้วสอนด้วยการยกปัญหาที่เกิดขึ้นจริงมาเป็นกรณีศึกษา ฝึกให้เด็กๆมองเห็นปริบทที่รายรอบปัญหานั้น ชี้ให้เขาเห็นว่าชีวิตมิได้มีเพียงมิติเดียว
ฝึกให้เด็กๆร่วมกันคิดระดมสมอง โดยมีครูคอยชี้ช่องทางที่เหมาะที่ควรให้เขาเห็น เด็กในยุคโลกาภิวัตน์นี้ส่วนมากจะรับรู้แล้วว่าปัญหาครอบครัวมีจริง แต่เขาหาทางออกไม่เจอ การสอนอย่างนี้ ครูพึงเลือกปัญหาหรือกรณีศึกษาให้เข้ากับปริบทในห้องเรียนของตนเอง และพึงเรียนรู้ที่จะเข้าใจเด็กอย่างลึกซึ้ง จับอารมณ์ของเด็กให้ทัน รวมถึงความมีเมตตาธรรมอย่างสูงที่จะนำเสนอทางออกที่เหมาะสมแก่เด็ก ด้วยภาษาที่เด็กเข้าใจง่าย เห็นจริง และไม่มองชีวิตเป็นสิ่งสำเร็จรูปเกินไป
การสอนด้วยวรรณกรรมดีๆ เลือกเรื่องที่มีข้อคิดดีๆเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว ก็น่าจะช่วยให้เด็กมองเห็นวิธีคิด วิธีเลือกเส้นทางชีวิตของตัวละครจากเรื่องที่เขาได้อ่าน อย่ามองหนังสืออ่านนอกเวลาเป็นเพียงคะแนนเก็บระหว่างภาค แต่โปรดมองเป็นการจำลองประสบการณ์ให้มนุษย์ตัวเล็กๆของเราได้ฝึกหยิบยกมาวิเคราะห์ใคร่ครวญ เรื่องบันเทิงคดีนั้นตอบสนองอารมณ์และติดตรึงใจดีนัก สักวันเขาจะฉุกใจ ได้คิด
อย่าลืมจัดกิจกรรม หรือตั้งคำถามเป็นความถี่ซ้ำๆ ที่จะทำให้เด็กเริ่มตั้งใจคิด
พ่อและแม่ ที่ดี คือพ่อและแม่แบบไหน
หากเขาต้องเป็นคุณพ่อคุณแม่ เขาจะเป็นพ่อและแม่แบบใด
ฝึกอย่างแนบเนียน และแยบยล ให้เด็กตั้งคำถามที่จะก่อรูปเป็นจิตสำนึกในใจ สักวันมันจะฝังรากลึกลงไปในใจเขา และจะช่วยกำหนดทิศอันเป็นมงคลให้กับชีวิตครอบครัวของเขา โดยคนแจวเรือจ้างอย่างเราพยายามทำหน้าที่ชี้ทางสว่างสุดชีวิต
มาตรฐานค่านิยมทางเพศ ของวัยรุ่นไทยในภาวะวิกฤตนี้ จะได้บรรเทาลง อย่างน้อยๆ ครอบครัวของคนรุ่นต่อไป จะได้เริ่มจากการคิดก่อนทำ แทนที่จะทำก่อนแล้วค่อยคิด
วิชาครอบครัวศึกษา สามารถเลือกวิธีสอนได้หลายรูปแบบตามความถนัดของผู้สอนและปริบทของผู้เรียน โปรดระลึกอยู่เสมอว่าวิชาครอบครัวศึกษามิใช่ชุดวิชาสำเร็จรูป แต่เป็นศิลปะการปลูกฝังจิตสำนึกขั้นสูงที่ต้องอาศัยความรักความเข้าใจ และความเพียรพยายามที่จะเรียนรู้และเข้าใจผู้เรียนเป็นเบื้องต้นก่อน
โปรดอย่ามองคำว่า “ครอบครัวศึกษา” อยู่ในกรอบของห้องเรียน วิชา และการสอบเอาคะแนนเป็นอันขาด เพราะชีวิตครอบครัววัดเป็นคะแนนไม่ได้ และไม่มีกรอบคะแนนสำเร็จรูป แต่เป็นศิลปะของการประคับประคองชีวิตร่วมกัน ด้วยความรักและความเสียสละ วิชาความรักและความเสียสละ ไม่มีในระบบการศึกษาและหลักสูตรของชาติเรา ถามว่าจะรอให้ใครมาสร้างให้ ถ้าครูอาจารย์และนักเรียนนักศึกษาไทยไม่ร่วมกันสร้าง
วิชาครอบครัวศึกษานี้ สามารถสอน และสอดแทรกในการเรียนการสอนได้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงปริญญาเอกโดยไม่ต้องรอครูต้นแบบ การสืบทอดความเป็นครอบครัวที่เหนียวแน่นภูมิปัญญาของไทยมานานแล้ว
โปรดอย่ารีรอที่จะสอนชุดความรู้นี้โดยไม่ต้องรอให้กระทรวง ทบวง กรม ประกาศใช้เป็นหลักสูตร....
เพราะ "หลักสูตร" มักจะเกิดตามหลังชุดความรู้ที่เป็น "ภูมิปัญญา" เสมอ
----------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ อ.ดอกไม้ทะเล
วิชาครอบครัว เป็นวิชาที่สำคัญจริงๆ ครอบครัวเป็นพื้นฐานของทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ พฤติกรรมของคนนั้นล้วนแล้วมีพื้นฐานมาจากครอบครัวทั้งนั้น อีกส่วนหนึ่งอาจจะมาจากพันธุกรรมบ้างแต่ก็คงเป็นส่วนน้อย...
ดิฉันก็คงมีสอนเด็กๆ ไปบ้างแต่ก็เป็นแบบสอดแทรกไปเรื่อยๆ น่ะค่ะ..
สวัสดีค่ะ อาจารย์กมลวัลย์
ดีออกค่ะอาจารย์ : ) การสอนแบบสอดแทรกแนวคิดที่พึงประสงค์เกี่ยวกับเรื่องครอบครัว อย่างที่อาจารย์บอก น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะในการสอน ในรายวิชาต่างๆ ของระดับอุดมศึกษานะคะ
บางทีเวลาเราสอนกันตรงๆ เด็กก็ไม่ใคร่อยากฟัง เขาคงรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่แล้ว เลยต้องพูดให้กลืนๆไปกับเนื้อหา
อันนี้เล่าสู่กันฟังนะคะ ที่ผ่านมา เด็กๆบางกลุ่ม มีค่านิยม "ล้ำหน้า" ไปมาก บางทีดิฉันก็ลองนัดเป็นกลุ่ม (เรียกเก๋ๆว่า focus group) และคุยกันตามสภาพจริง และคุยกันตรงๆ ถ้าเห็นว่าทางเลือกของเขานั้น "เสี่ยง" เกินไป
(ดิฉันจะคุยตรงๆกับเด็กที่คุ้นกันแล้วราวหนึ่งปีการศึกษา เขาจะพอรับอย่างที่เราเป็นเราได้ แต่ดิฉันต้องคุยอย่างระมัดระวัง และใส่ใจความรู้สึกเขามากเหมือนกันค่ะ)
เด็กบอกอย่างขำๆว่า ดิฉันรู้ก็แต่ภาคทฤษฎี ส่วนเขานั้น ภาคปฏิบัติผ่านโปรฯไปแล้ว
ดิฉันก็เลยบอกว่าขออนุญาตเปรียบเทียบอย่างนี้ก็แล้วกัน เปรียบเหมือนคุณเป็นนักมวย และครูเป็นโค้ช
..ถูกละ โค้ชเข้าชิงแชมป์โลกไม่ได้.......
แต่โค้ชบอกนักมวยได้ ว่าชกยังไงถึงจะได้เป็นแชมป์โลก
.........โดยไม่โดนใครเขาน็อคไปเสียก่อน........
เด็กๆก็ฮากันครืนอะค่ะ : )
คุยกับเด็กๆไปแล้วดิฉันก็ขำตัวเองเหมือนกัน เราก็รู้แต่ภาคทฤษฎีจริงๆ ประเภทอธิบายได้ แต่ปฏิบัติม่ายเป็น อิอิ
สวัสดีค่ะอ.ดอกไม้ทะเล
ชอบที่อาจารย์พูดเรื่องโคชกับนักมวยค่ะ จริงที่บางเรื่องเราก็พูดแต่ทฤษฎีที่ไม่เคยปฏิบัติ แต่ดิฉันว่าเราทุกคนมีครอบครัวให้นึกถึงได้เสมอ.. แล้วก็เห็นตัวอย่างรอบๆ ตัว ของเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆเป็นจำนวนมาก แล้วก็ในข่าวก็มีตัวอย่างของครอบครัวล้มเหลวให้ดูเยอะจริงๆ... มีเรื่องให้สอนเยอะค่ะ แม้นจะไม่เคยผ่านภาคปฏิบัติจริงก็ตาม อิอิ..
อาจารย์กมลวัลย์คะ
ประโยคนี้ของอาจารย์ จับใจดีจัง "เราทุกคนมีครอบครัวให้นึกถึงได้เสมอ" และมีเรื่องให้สอนเยอะจริงๆด้วยค่ะ เห็นรอบตัวในแต่ละวันก็มีเรื่องให้ยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษากันไม่หวาดไม่ไหว
และ ".แม้จะไม่เคยผ่านภาคปฏิบัติจริงก็ตาม" แต่ดิฉันก็ยังคงมีความหวังอยู่เสมอว่า........
อ่า... ....หวังว่า เราจะพอมีทางอธิบายให้เขาเข้าใจได้ตรงตามสภาพจริงอะค่ะอาจารย์.....
เอ่อ......ประมาณนั้นอะค่ะ ....อิอิ... : )
ปล. ชอบการ์ตูนชะมัดเลยค่ะอาจารย์ โดยเฉพาะเมื่อเธอกำลังทำท่าน่ารักน่าเอ็นดู อยู่ระหว่างรูปของเรา ทำให้คิดถึงหลานน้อยๆอายุสองขวบครึ่ง ( สงสัยต้องแวะไปขอยืม อ.ลูกหว้ามาแปะไว้มั่งแล้วอะค่ะ) : )
นานๆจะพบอาจารย์ที่แสดงออกอย่างเอาจริงเอาจังอย่างนี้นะคะ นับถือค่ะ
ส่วนตัวดิฉันเอง อาจโชคดีหน่อยที่มีครอบครัวอบอุ่นมาตลอดจนปัจจุบับ ดิฉันไม่เคยอยู่ในวงการๆศึกษา แต่มีปรัชญาในการดำเนินชีวิตของตัวเอง ปรัชญญาการดูแลเรื่องการศึกษาของลูก และแนะนำญาติๆเพื่อนฝูง รุ่นน้องๆมาตลอดค่ะ ซึ่งโชคดีอีก ที่ส่วนใหญ่ก็มีครอบครัวที่ดีๆและลูกๆก็ประสบความสำเร็จตามที่ตนเองหวัง ไม่มากก็น้อยกัน
การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดค่ะ ผู้มีอาชีพและจิตวิญญาณเป็นครู ควรได้รับการยกย่องมากกว่าอาชีพอื่นๆ และควรได้ค่าตอบแทนที่ดีกว่าด้วย
มีข้ออยากถามอาจารย์ค่ะว่า
ป.ล.ดิฉันมีเรื่องจริงๆมาเล่า โดยเพื่อนสนิท และทุกคนก็เป็นปลื้มแทนหลาน เป็นแรงบันดาลใจสำหรับ การที่จะไปสอนลูกหลานต่อไปค่ะ
อาจารย์คะ
ความเข้มแข็งทางวิชาการเราอ่อนไปนะคะ ลองอ่านดูค่ะ
http://gotoknow.org/blog/thaikm/1939ในช่วงปี ๒๕๔๑ – ๒๕๔๕ อาจารย์ในภาควิชาเคมีของ ๘ มหาวิทยาลัยไทยที่ถือว่ามีความเข้มแข็งทางวิชาการสูงสุด ผลิตผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติเฉลี่ยคนละ ๐.๒๖ เรื่องต่อปี ตัวเลขดังกล่าวของภาควิชาฟิสิกส์ เท่ากับ ๐.๑๒ และเท่ากับ ๐.๐๙ ในสาขาคณิตศาสตร์
แหล่งอ้างอิง รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยนำร่อง การคาดการณ์สถานภาพการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การภาพ ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐ ๘ แห่ง โดยสุพจน์ หารหนองบัว และคณะ (อ่านรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ที่ www.trf.or.th)
ดิฉันต้องขออภัยอย่างสูงที่เข้ามาตอบช้านะคะ สัปดาห์แรกของการเปิดเทอมมีงานเร่งด่วนเข้ามามากเหลือเกิน
รู้สึกยินดีและขอบพระคุณมากนะคะที่คุณศศินันท์ แวะมาเยี่ยม ขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับกำลังใจ และดอกกล้วยไม้สีชมพูแสนสวย (ดิฉันเข้าใจว่าเป็นกล้วยไม้นะคะ) ชอบมากๆเลยค่ะ
สีชมพูสวยเสมอไม่ว่าจะอยู่โทนไหน และจะสวยมากที่สุดเมื่ออยู่บนแก้มของเจ้าตัวน้อยของเรา (ดิฉันแอบไปดูรูปหลานๆของคุณบ่อยค่ะ)
ที่หน้าบ้านดิฉันมีกล้วยไม้ออกดอกอย่างเบิกบานเกือบตลอดทั้งปี ด้วยฝีมือของแม่ค่ะ ส่วนดิฉันคอยเป็นกองเชียร์สุดฝีมือ
สำหรับบทความ "สามวิชา ที่ครูยคหลังปฏิรูปการศึกษาต้องรีบสอน" นี้ ดิฉันเขียนไว้นานแล้วค่ะ ตั้งแต่ พศ.2546 ข้อมูลเลยไม่เป็นปัจจุบันเท่าไหร่ ออกแนวตามใจนึก แถมยังพูดวนๆอยู่แต่เรื่องโรงเรียน เพราะชีวิตก็ผูกพันอยู่กับบ้านและโรงเรียนนี่แหละค่ะ
คุณศศินันท์ ตั้งคำถามถึงเรื่องใหญ่ของมหาวิทยาลัยเลยนะคะ เป็นงานที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันขับเคลื่อน
สำหรับการประเมินคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานหลักทั้งสาม คือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ค่ะ
ในการประเมินมีเกณฑ์และตัวชี้วัดที่เข้มข้น มหาวิทยาลัยก็ต้องดำเนินงานประกันคุณภาพรวมถึงงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อพร้อมรับการประเมิน ทั้งนี้ก็มีความแตกต่างกันไปตามแต่ปริบทเฉพาะของมหาวิทยาลัยค่ะ
งานที่เร้าใจมากคืองานประกันคุณภาพ ซึ่งสืบเนื่องกับการประเมินทั้งหลาย ดิฉันมีโอกาสช่วยพี่ๆน้องๆทำอยู่บ้างเล็กน้อย ดูแล้วสนุกดี คือสนุก ถ้าเราทำงานนั้นจริง และสามารถบอก (สื่อสารและแสดงหลักฐาน) ตรงๆได้ว่าเราทำอะไร และยังไม่ได้ทำอะไร และควรทำอะไรต่อ แล้วก็ทำสิ่งที่ลงมือทำ หรือสิ่งที่สัญญาว่าจะทำนั้นให้เป็นหลักเป็นฐาน สืบค้นหรือแสดงให้ประจักษ์แก่ตาได้
การประเมินงานที่ทำทั้งหลาย...เมื่อตั้งอยู่บนฐานที่เป็นความจริง และด้วยเกณฑ์ที่เข้าใจสภาพจริง ทุกฝ่ายก็ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ
และคุณศศินันท์พูดถึงประเด็นที่ดิฉันกำลังหนักใจแทนหลานๆพอดีเลยค่ะ เห็นเขาแบกกระเป๋าแล้วกลุ้มใจจริงๆ เพราะสิ่งที่แบกคือสิ่งที่ไม่ได้ใช้เสียกว่าครึ่ง เรื่องโรงเรียนให้การบ้านเด็กๆเยอะนี้ ในทางหนึ่ง อาจเกิดจากสาเหตุดังในข่าวนี้
ตะลึง! นร.ไทย ทำการบ้านสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง
“ปัจจุบันมีการบ้านเยอะ โดยเฉพาะหลักสูตรใหม่ เนื่องจากกำหนดว่าให้วัดผลจากโครงการ และการบ้าน ผสมกับการวัดผลทางวิชาการ ทำให้นักเรียนมีการบ้านมาก ซึ่งที่โรงเรียนได้แก้ไขโดยการให้แต่ละหมวดวิชาเฉลี่ยการให้การบ้านร่วมกัน เพราะถ้าให้การบ้านทุกหมวดเด็กอาจจะทำไม่ไหว”
การกำหนดนโยบายใดๆ นี้น่าคิดเหมือนกันค่ะ เพราะจากนโยบายสู่การปฏิบัติ บางครั้งก็มีความกำกวมทำให้ตีความไปได้ต่างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรับผิดชอบการตีความและตอบคำถาม โดยคำนึงถึงปริบทที่เป็นจริง (คือมีความแตกต่างหลากหลาย) จึงจำเป็นมาก หากปล่อยให้ตีความกันไปเองก็จะเป็นช่องโหว่ทางการศึกษาที่อันตรายมาก เพราะคนที่หล่นร่วงลงไปทางช่องโหว่นั่นคือลูกหลานของเราทั้งสิ้น
ขอขอบพระคุณ สำหรับข้อมูลเรื่องความเข้มแข็งทางวิชาการนะคะ ดิฉันเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง และทำให้ตระหนักว่าการที่คนไทยจะพัฒนาวิชาการให้เข้มแข็ง ทัดเทียมอารยะประเทศได้นั้น ต้องมีแรงมุ่งมั่นและมีศักยภาพสูงมาก และดิฉันก็โชคดีได้มีโอกาสเห็นผู้มีศักยภาพเหล่านั้นจำนวนมากผ่านสื่อต่างๆ รวมถึง G2K ด้วย
คิดว่าเมืองไทยยังไม่สิ้นหวังนะคะ แต่คงต้องอาศัยพลังสนับสนุนการพัฒนาความเข้มแข็งทางวิชาการจากหลายทิศทาง และหลากรูปแบบ
ดิฉันอยู่ต่างจังหวัด อยู่แบบครูบ้านนอก เลยมีโอกาสพบเพื่อนครูที่อยู่ในแหล่งที่ขาดโอกาส แต่เพียรพยายามสร้างโอกาสให้แก่เด็กอย่างตั้งใจ ขณะเดียวกันก็ได้เพียรพยายามพัฒนาตนเองไปด้วย แม้จะยากลำบาก ก็พยายามช่วยกันไปทั้งครูทั้งเด็ก
ผู้มีศักยภาพสูงๆ และอยู่ในพื้นที่ที่โอกาสอำนวยให้ ก็คงต้องเหนื่อยหนักหน่อยที่จะพัฒนาความเข้มแข็งทางวิชาการในระดับสากล ส่วนวิชาการ ในระดับบ้านๆ (เพื่อสร้างคนระดับฐานรากให้มีรากฐานแน่นและมั่นคง) ก็ว่ากันไปในสภาพที่เป็นจริง และทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เลยได้เห็นว่าต้องช่วยกันหลายทิศทางนะคะ
และขอบพระคุณมากๆนะคะสำหรับบันทึกน่ารัก เรื่อง “คุณยายคุณภาพฯ” ช่างเป็นโชคดีของหลานจริงๆ ชื่นชมในศักยภาพของผู้เป็นคุณยายด้วย เป็นตัวอย่าง(และแบบอย่าง)ที่ดีมากๆของวิชาครอบครัวศึกษานะคะ
ดิฉันรู้สึกว่าปู่ยาตายาย เป็นความอบอุ่นแบบเป็นที่พึ่ง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นอะไรบางอย่างที่เราจะยิ่งตระหนัก ......เมื่อขาดไป แต่การถ่ายทอดทางวัฒนธรรมยังคงอยู่
ดิฉันบอกลูกศิษย์ว่าจงเป็นรุ่นพี่ที่ดี อย่าให้น้องรู้สึกไม่แน่ใจขณะยกมือไหว้สวัสดี แล้วก็จงเตรียมตัวล่วงหน้าที่จะเป็นคุณป้าและคุณยายที่ดีด้วย เพราะชีวิตน่ะแป๊บเดียว
อย่างครูเนี่ย ....ปีนี้เป็นป้า ปีหน้าเก๊าะเป็นยาย.... เห็นแมะแป๊บเดียว
.....ดิฉันมั่นใจว่าเด็กจะค้านว่า "...ไม่จริ๊ง ไม่จริงหรอกฮ่ะ ’จารย์....."
แต่รอบนี้เธอกลับทำท่าเห็นด้วยสุดชีวิต..!...
.....ดิฉันจะถอนคำพูดก็ไม่ทันเสียแล้วอะค่ะ.... : )
คำกล่าวที่ว่า “พ่อแม่ คือ ผู้นำเสนอโลกแก่ลูก” ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก เป็นถ้อยคำที่ลึกซึ้ง แยบคาย และจับใจมิใช่น้อย
********** ********** **********
;P เห็นด้วยกับประโยคทอง นี้ค่ะ
หากว่า วิธีที่เรา-พ่อแม่ จะนำเสนอ "โลก" แก่ลูกของเรานั้น...
มันไม่ง่ายเลยนะคะ
อ่านบันทึกนี้แล้วอิ่ม จนไม่ต้องถามอะไรให้มากความ ควรแต่จะต้องไปเรียนรู้ "โลก"ให้ดี
และหาแนวทางนำเสนอ "โลก" ด้วยวิธีที่ดี เหมาะสม...แก่ลูกของเราเอง ขอบคุณค่ะ
หัวใจของครอบครัวศึกษา ผมว่า อยู่ที่ "การให้" ครับ
โดยเฉพาะ
" ให้ความรัก ให้การยอมรับ ให้อภัย และ ให้โอกาส"
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณหมอเล็กภูสุภา
วิธีการนำเสนอความรักของผู้เป็นพ่อแม่นี้...อาจต้องมีโรงเรียนสอนทีเดียว
"อาจต้องมีโรงเรียนสอน" แปลว่า อาจต้องมีผู้ถ่ายทอด (หรือหน่วยที่รับผิดชอบถ่ายทอด)ความรู้ชุดการสื่อสารในครอบครัว อย่างเป็นระบบครบกระบวน ถี่ถ้วนทุกมิติการสื่อสารของมนุษย์ ทั้งการสื่อสารภายในใจตนเองและการสื่อสารกับบุคคลอื่นในครอบครัว
คงพอเรียกว่า "เรียนรู้ Family Communication เพื่อนำไปสู่ Effective Family Communication" ได้กระมังคะ
ประสบการณ์เรื่องการสื่อสารในครอบครัวนี้น่าเรียนรู้และน่าศึกษามากเลยค่ะ ทุกคนมีประสบการณ์นี้ เพียงแต่จะนำมาคิดวิเคราะห์เพื่อปรับแก้ให้ดีขึ้นหรือไม่เท่านั้น
หากโชคดีพอ คนในครอบครัวคิดวิเคราะห์ร่วมกันด้วยความเข้าใจ และปรับวิธีสื่อสารเสียใหม่ให้เป็นการสื่อสารที่น่ารัก และนำเสนอความรักได้อย่างถูกวิธีเหมาะแก่วิถีของครอบครัวนั้นๆ เราจะได้หน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม ที่มีความมั่นคงทางจิตใจเพิ่มขึ้นมาอีกหลายหน่วย และหน่วยเล็กๆเหล่านั้นก็จะเป็นรากฐานของความเข้มแข็งมั่นคงของสังคมต่อไป เราจะได้สังคมสุขภาวะเป็นของขวัญ ได้พ่อแม่ลูกที่น่ารักเป็นรางวัล คิดแล้วอยากไปแต่งงานจริงๆ อิๆๆๆ
เวลาจะฝึกให้นักศึกษาทำงานอะไรสักอย่างแล้วเธอไม่ได้ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ พี่แอมป์ชอบล้อเด็กๆด้วยประโยคนี้มากเลยค่ะ
"..ครูไปแต่งงานดีกว่า..."
แล้วเด็กก็จะฮากันครืน เพราะหน้าตาพี่ดูตั้งอกตั้งใจมาก ว่าพี่หมายฟามเช่นนั้นจริงๆ
พี่ตั้งใจสื่อความหมายว่า "ถ้าเราเสียเวลาชีวิตเพื่อทำสิ่งนี้ แล้วมิได้คุณค่าอย่างที่ตั้งใจ ทำแล้วสูญเปล่า เราจะไปเสียเวลาทำไม เราไปทำอะไรของเราเอง ให้เราได้รับเอาคุณค่าจากสิ่งที่เราทำอย่างเต็มที่... มิดีกว่าหรือ?"
แปลอีกทีว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์สิ่งหนึ่งคือการมีครอบครัวที่ดี อยู่ในครอบครัวนั้นแล้วอบอุ่นมีความสุข พี่ถามเด็กๆว่าหากคุณได้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แลกกับการสูญเสียครอบครัวที่ดีของเราไป อย่างไม่มีวันเอากลับคืนมาได้ คุณจะยอมไหม? แล้วพี่ก็ตัดบททันควันว่า "อย่าตอบครู จงตอบตัวเอง... และขอให้โชคดี เพราะคำตอบแท้ๆจากใจคุณวันนี้ ...จะกำหนดชะตาชีวิตของคุณเอง..และครอบครัว..ในวันหน้า
...ถ้า คุณ มี ! ..."
นึกแล้วกลุ้มใจวิธีสอนของตัวเองเหมือนกันจ๊ะ เพราะพี่คิดเอาเอง(ด้วยสามัญสำนึกบ้านๆ)ว่าอะไรน่าจะเป็นปัญหาในชีวิตบ้าง แล้วพี่ก็ยกปัญหาขึ้นมาคุยกับเด็กๆเพื่อวิเคราะห์พินิจพิจารณาร่วมกัน จากนั้นก็ร่วมหาทางออกแบบทะลุ่มทะลุยตามใจฉัน แล้วก็ปล่อยให้เด็กๆไปคิดเอง ไม่เคยมีคำตอบสำเร็จรูปให้เขาสักที เด็กๆที่เรียนกับพี่จึงประเมินผลการสอนอย่างมั่นใจว่า "...จารย์สอนอะไรก็ไม่รู้..ไม่รู้เรื่อง"..ต่อเนื่องกันมาจนทุกวันนี้ (และพี่ก็ทำใจได้แล้วนะจ๊ะ) : )
สุดท้ายนี้ พี่ก็ได้มองเห็นอีกครั้งว่า ความรักของพ่อกับแม่ทำให้ลูกมีหัวใจที่อ่อนโยน ..หากนำเสนออย่างถูกวิธี จากบันทึกถึงลูกภูของคุณหมอเล็ก ที่อ่านแล้วก็รู้สึก "อิ่ม" อย่างยิ่งเช่นกัน และทำให้พี่รู้สึกว่า Family Communication ที่ดี เริ่มต้นจาก "ความรักและความตั้งใจที่จะเข้าใจกันโดยแท้จริง" เป็นพื้นฐานสำคัญ
ขอบคุณจริงๆที่หมอเล็กแวะมาร่วมสนทนาเติมเต็ม สามารถอ้างอิงเรื่อง "ครอบครัวศึกษาฯ" ให้เห็นหลักฐานจริงเชิงประจักษ์(แก่ตา)ได้ ในบันทึกของคุณหมอเล็กนะคะ : ) : )
สวัสดีค่ะอาจารย์ small man~natadee
ขอบพระคุณและยินดีมากๆที่อาจารย์แวะมาเยี่ยมค่ะ ดิฉันขออภัยที่ตอบช้าเพราะติดภารกิจและเน็ตมีข้อจำกัด แบบ slow but not sure เลยค่ะ : )
หลังจากอ่านความเห็นของคุณหมอเล็กและความเห็นของอาจารย์small man~natadee แล้วดิฉันก็นั่งยิ้มอย่างมีความสุข เพราะความเห็นของทั้งสองท่าน ได้เติมเต็มให้แก่กันและกันอย่างพอเหมาะพอดี (ในความรู้สึกของดิฉัน)
ชอบหัวใจของครอบครัวศึกษา ของอาจารย์มากค่ะ " ให้ความรัก ให้การยอมรับ ให้อภัย และ ให้โอกาส" ดิฉันอยากฝึกเด็กๆที่สอนให้มีคุณสมบัติเช่นที่ว่านี้จริงๆ แต่ไม่ทราบจะออกแบบการสอนอย่างไรให้จับใจเขา เขาจะได้จำนานๆ
ดิฉันชอบสอนเด็กว่า เมื่อสัมพันธ์กับผู้ใดก็ตาม จงให้"สาม"ให้ "ให้เวลา ให้โอกาส ให้เกียรติ" แต่รู้สึกว่ามันขาดๆอะไรไปอย่างไรก็ไม่ทราบ เมื่ออาจารย์แวะมาต่อยอดสรุปไว้ รู้สึกว่าได้ใจความสำคัญของหัวใจของครอบครัวศึกษาครบถ้วนเลยค่ะ : )
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะครูคิม
พี่แอมป์ที่รักยิ่ง(และเคารพ) ในวงเล็บกลัวพี่แอมป์จะสะดุ้ง จึงใส่วงเล็บสักหน่อย อิ อิ
เวลาน้องเริ่ม ๆ จิตขุ่น ๆ มัว ๆ จากอะไรก็ตามแต่ ปัญหางาน หงุดหงิด ๆ(ใกล้วัยทองกับเขาแล้วกระมัง) บันทึกพี่แอมป์จะเป็น "ศาลาพักใจ" เอ๊ย เป็น"ศาลากำลังใจ" ค่ะ
มาอ่านซ้ำ อ่านแล้วอ่านอีก เอ สงสัยต้องเอาไปไว้ในบันทึกเราอีกสักหนึ่งคอมเมนท์ซะแล้ว
พี่แอมป์ตอบคอมเมนท์หนึ่ง ยาวกว่าบันทึกน้องอีกค่ะ
คอมเมนท์ที่ว่าต้องขออนุญาต คือ คอมเมนท์ที่ 16. ดอกไม้ทะเล
เรา พ่อ-แม่จะเก็บไว้ให้ลูกอ่าน ว่าอย่างน้อยมีพี่แอมป์ที่รับรู้นะว่าเรา พ่อและแม่ รักและอยากเป็นครูที่ดีต่อลูก
เรียนขออนุญาตนะคะ
ตั้งชื่อบันทึกว่า
เมื่อ อาจารย์แอมป์อยาก....แ ต่ ง ง า น อิ อิ