เมื่อวันที่ 12 - 14 พฤษภาคม 2550
ศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานเขตพืนที่การศึกษา เชียงใหม่ เขต 5 ได้จัดทำโครงการอบรมครูเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน ขึ้น โดยทีมงานของศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาและวิทยากรเครือข่าย
หลักสูตรในการอบรมได้เริ่มจากการทบทวนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 หลักสูตรสถานศึกษาสู่การจัดทำแผนการเรียนรู้ และ การวิจัยในชั้นเรียน
ในฐานะที่ได้รับผิดชอบรองหัวหน้าศูนย์พัฒนาครูฯ ได้ข้อคิดจากกิจกรรมดังกล่าว ดังนี้
1 . ศูนย์พัฒนาครูเริ่มมีบทบาทที่จะเป็นที่พึ่งของครูได้จริง เดิมที่วาดหวังไว้คือ ทำอย่างไรจึงจะบริหารและจัดการคนเก่ง คนฉลาดในมหาวิทยาลัยและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา ให้มีโอกาสนำความรู้ประสบการณ์ไปแลกเปลี่ยนให้ผู้อื่นมีโอกาสได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนรู้ ได้ฝึกปฏิบัติ ตามความชำนาญการของตน
บัดนี้ ฝันเริ่มเป็นจริง มาทำงานร่วมกันที่ศูนย์ได้หลอมรวมคนเก่งแต่ละสาขา แต่ละด้านที่ศูนย์ และประสานให้หน่วยงานอื่นทราบว่าท่านอบากแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องไร บอกเราสิ หรือ คุณขอมา เราจัดให้
2. การทำงานกับคนหลากหลายความรู้ ความสามารถ และมากประสบการณ์ ต้องอาศัยความหลากหลายให้เกิดประโยชน์ บางคราวแทบจะลงตัวไม่ได้ แต่แล้วก็จบลงด้วยดี และคนที่โต้แย้งกันหน้าดำคร่ำเครียด ประเดี๋ยวเขาก็ลืม
หากผู้บริหารหรือผู้นำยังเก็บมาคิด เก็บมาผูกใจเจ็บ น่าอายมากกว่าเพราะควรเป็นคนที่ลืมก่อนเป็นคนแรกด้วยซ้ำ นี่กระมังที่ครูอาจารย์สอนไว้ว่า เป็นผู้นำจงจดจำความดีของคน และโปรดลืมความชั่วของคนอื่น อย่าตำหนิหรือกล่าวโทษคนอื่นเลย เพราะคนดีจะไม่กล่าวถึงความชั่วของคนอื่น
3. หลักสูตรสถานศึกษา นำไปใช้ตั้งแต่ ปี 2544 นับถึงวันนี้ได้ เกือบหกปีแล้ว พบว่า ครูส่วนใหญ่เขียนหน่วยการเรียนรู้ไม่ได้ ออกแบบการเรียนรู้ไม่เป็น ในที่สุดก็จึงไปซื้อแผนการเรียนการสอนสำเร็จรูปนำ ไปสอน หรือไม่ก็ยังคงสอนด้วยวิธีการสอนเดิม ๆ คือ สั่งให้นักเรียนทำตามใบงานใบความรู้ ทุกสาระการเรียนรู้ ทุกวิชา
ตอนนี้ กระทรวงศึกษาธิการลงทุนด้วยงบประมาณมหาศาล นำรูปแบบการออกแบบการเรียนรู้ Backward design อบรมครู ศึกษานิเทศก์รุ่นละหลายวัน สาธุ ขอให้ได้ผลจริงๆ เถิด เพราะอะไร ๆ ก็มาตายที่ประเทศไทยทั้งนั้น ทั้ง QCC การประเมินผลตามสภาพจริง portforioทักษะกระบวนการ 9 ขั้น กระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการสอนของกานเย่ ฯลฯ
คนไทยน่ารักมาก อะไรๆก็รับได้ทั้งนั้น แต่....ไม่ทำ(ครายจะทำไม)
4. วิจัยในชั้นเรียน ทำไมจึงยากเป็นหนักหนา ที่ยากมิใช่อะไร โถ ถ้าไม่รักการอ่าน ไม่รักการเขียน ไม่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่ช่างสังเกต ไม่ชอบสังเคราะห์ วิเคราะห์แยกแยะไม่เป็น ไม่เกิดหรอกที่จะก้าวไปถึงการวิจัย เพราะฉะนั้น อบรมไปเท่าไหร่ ก็วิจัยไม่ได้สักที สมองส่วนคิดไม่ได้กระตุ้นสม่ำเสมอนั่นเอง
5. วิชาการชอบมีอะไรใหม่ ๆตลอดเวลา แม้แต่ศัพท์ก็บัญญัติขึ้นมาใหม่จนเวียนหัว ถ้านิ่งและทำความเข้าใจให้รู้ลึก ประเทศของเราน่าจะเกิดองค์ความรู้มากมาย หรือว่าเรามัวไปคิดบัญญัติศัพท์ให้งุนงงกันมากเกินไปหรือไม่ ที่ไม่ได้สร้างองค์ความรู้ใหม่กันเสียที
เริ่มรู้ว่าเข้าสู่คนวัยอา (วุโส) เพราะเห็นอะไรเริ่มละเอียดยิ่งขึ้น มิน่าคนแก่จึงชอบบ่น ว๊าย !!!!!
จึงสรุปได้ว่า เป็นความภูมิใจร่วมกันอีกระดับหนึ่งที่เราได้ใช้เวลาที่นักศึกษาปิดเทอม แต่ คณาจารย์ได้ทำคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง
ขอขอบคุณคณบดีครุศาตร์(ผศ.เพิ่มศักดิ์ สุริยจันทร์ที่ให้โอกาสพวกเราได้ทำงาและขอขอบคุณคณาจารย์ทุกคนที่ร่วมกันทำงานจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีอีกโครงการหนึ่ง
เราจะก้าว เราจะก่อ ต่อ ๆ ไป
ผ่านมาขอแลกเปลี่ยนด้วยคนครับ....เหตุผลที่ผมไม่สนใจเรื่องความรู้ ........ เพราะส่วนหนึ่งผมเคยบวชเรียนมา ......
ผมจะศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า เนื่องจากพระพุทธองค์ท่านเคยตรัสว่า "ธรรมะที่ตถาคตตรัสให้ทุกท่านฟัง เป็นเพียงใบไม้ในกำมือของพระองค์เท่านั้น" แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ยิ่งใหญ่ เปรียบใบไม้ของป่าทั้งหมดนี้ นี่คือสิ่งที่ผมยึดถืออยู่เสมอ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผมยังศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ครบ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ผมก็จะไม่สนใจความรู้อื่น ๆ
และสิ่งผมยึดถือคือ อริยสัจจ์สี่ (ทุกข์,สมุทัย,นิโรจ,มรรค) เพราะเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ๔ ประการ กฏของไตรลักษณ์ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงอยู่เสมอเช่นกัน (ทุกขัง,อนิจจัง,อนัตตา) และสิกขา ๓ คือการเรียนที่สมควรเรียน ๓ ประการ คือ ศีล,สมาธิ,ปัญญา
ส่วนการศึกษาปัจจุบัน ผมจบปริญญาตรีแล้ว ทำงานแล้ว มีความเป็นอยู่สงบ (ไม่ทุกข์,ไม่สุข) มีชีวิตพอดี เพราะทางพุทธศาสนา ระบุว่า สุขของฆราวาสคือ ๑ เพราะได้ประกอบสัมมาอาชีพ ๒ สุขที่ได้ใช้จ่ายเงินจากสัมมาอาชีพ ๓สุขเพราะไม่เป็นหนี้ ๔ สุขเพราะได้ทำบุญสร้างกุศล พอแล้วครับชีวิต........ได้ช่วยเหลือคนอื่นบ้างก็ทำให้ชื่นใจแล้วพอครับ