ตอนผมเป็นกรรมการเขียนหนังสือประวัติครูของคุรุสภา มีกรรมการท่านหนึ่งที่เป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ท่านเล่าถึงเหตุการณ์นานมาแล้วว่า
มีโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง(ท่านระบุชื่อจริงด้วย)อยู่ในจังหวัดปริมณฑลนี่เอง ซึ่งตั้งอยู่ในวัด จะมีคุณยายคนหนึ่งมานั่งอยู่แถวประตูทางเข้าออกวัดทุกวัน แกชอบเรียกนักเรียนมาอ่านหนังสือให้ฟัง และเขียนหนังสือให้ดู ใครอ่านออกเขียนได้แกก็จะให้ขนมกิน เด็กคนไหนอ่านไม่ได้แกก็จะเรียกมาสอน วิธีการสอนของแกก็ใช้แบบครูโบราณใช้นั่นแหละ คือให้อ่านแล้วก็สอนไป จ้ำจี้จำไชไป จนอ่านได้ทุกคน(แกกัดไม่ปล่อย) พอเด็กชักเบื่อแกก็ให้ขนมกิน แกไม่ดุเด็ก แกทำเหมือนยายสอนหลาน และแกก็รักเด็กจริงๆ ทราบว่าคุณยายคนนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่แกทำแล้วมีความสุข
ตอนหลังครูในโรงเรียนพอพบเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออกก็จะส่งมาให้คุณยายช่วยสอน และก็สำเร็จทุกรายไป ผมก็เลยพูดเล่นๆไปว่า
“น่าจะแบ่งเงินเดือนของครูคนนั้นให้คุณยายด้วยนะ”
เรียนคุณครูธเนศ
คุณยายเขาทำด้วยใจ ไม่ว่าใครก็ตามถ้าทำด้วยใจรัก ผลออกมาก็ต้องสำเร็จ หรือดีเสมอ
สวัสดีค่ะอาจารย์เธนศ
ดิฉันว่าจะแวะเข้ามาอ่านอะไรแป๊บเดียว ได้อ่านเรื่องของคุณยายท่านนี้เข้า เลยอดตอบไม่ได้...
ดิฉันคิดว่าคุณยายมองเห็นหัวใจของการให้นะคะ เป็นหลักการแบบบ้านๆที่สุด ที่ไม่ต้องอาศัยทฤษฎีหรูๆรวยๆอะไรเลย
ถ้า "รักคนที่เราทำให้ รักในสิ่งที่ทำ ทำแล้วมีความสุข" ดังนี้ไซร้ก็ทำไปเถิด ความสุขของคุณยายเกิดขึ้นง่ายๆอย่างนี้
ดิฉันนึกถึงที่เขาว่า "สูงสุดคืนสู่สามัญ" นะคะ ดูง่ายๆ แต่กินใจดี
(อยากทำได้อย่างคุณยายบ้างนะคะ) :-)
เรียน ศน.ธเนศ ที่เคารพ
น่ารักดีบันทึกนี้