วันนี้ผมได้เข้าร่วมสังเกตการณ์โครงการฝึกอบรมคุณอำนวย ในหัวข้อ “ทศพักตร์นักจัดการความรู้สู่เครือข่ายคุณอำนวยระดับชาติ” รุ่นที่ ๓ ณ ห้องประชุม SMEs ชั้น ๖ อาคารศูนย์วิชาการ มข.
และได้ชม VCD เสียงกู่จากครูใหญ่ จากรายการทีวี ที่ครูสมพร แซ่โค้ว ทำหน้าที่เป็นครูฝึกลิงขึ้นเก็บมะพร้าว เพื่อ ให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้สรุปบทเรียนว่า “คุณอำนวยที่ดีนั้นควรเป็นอย่างไร”
การนำเสนอจากรายการทำให้เกิดความชัดเจน ทั้งจากคำพูดและการแสดงตัวอย่างให้ดูว่า การอำนวยการสอนที่ดีนั้น จะต้องมีคุณสมบัติและการเตรียมการต่างๆอย่างไรบ้าง
ประเด็นที่คุณสมพรได้อธิบายอย่างชัดเจนก็คือ
จะต้องมีการวางแผนพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของลิงอย่างเข้าใจทั้งความพร้อมของลิง ที่อายุไม่น้อยหรือมากจนเกินไป
ประเด็นอายุนั้นเป็นทั้งความพร้อมทั้ง “ร่างกาย” และ “สมอง” ที่เหมาะกับการพัฒนาการเรียนรู้ได้ง่าย เป็นเบื้องต้น
และที่สำคัญก็คือให้โอกาสนักเรียนลิงได้ฝึกฐานความรู้ธรรมชาติมาจากแม่ของลิง ที่เปรียบเสมือนรากแก้วของชีวิต เพื่อพร้อมที่จะมาต่อยอดความรู้ระดับรากฝอยในโรงเรียนลิง
และท่านยังได้อธิบายเชิงเปรียบเทียบถึงการศึกษาของคน ที่ต้องมีพื้นฐานของการเรียนรู้แบบ “รากแก้ว” จากชีวิตจริงจากพ่อแม่และครอบครัว ก่อนที่จะมาต่อด้วยการเรียนรู้แบบ “รากฝอย” ในโรงเรียน ที่เริ่มจากระดับชั้นอนุบาลเป็นต้นไป อย่างต่อยอดแบบสอดประสาน และผสมผสานกัน ให้เด็กได้เติบใหญ่เป็นไม้ยืนต้นที่แข็งแรง พร้อมที่จะออกดอกออกผล ขยายเผ่าพันธุ์ความรู้กันต่อไป
มิเช่นนั้น เราก็จะมีเพียงการศึกษาระดับ “รากฝอย” โดยไม่มีรากแก้ว ทำให้ระบบการศึกษาอ่อนแอ เช่นเดียวกับพืชที่ไม่มีรากแก้ว ที่ต้องมีการเสริมรากแก้วให้ ยิ่งมากยิ่งดี พอย้อนกลับมาถึงระบบการวางแผนการพัฒนาการเรียนรู้
คุณสมพรก็ได้แสดงว่าต้องเริ่มต้นการเรียนรู้ ในรูปแบบจากชั้นอนุบาลแบบฝึกความพร้อมในเบื้องต้น ความคุ้นเคย ไว้วางใจกับระบบการเรียนของผู้เรียนในที่ควบคุมดูแลใกล้ชิด ในระดับประถมที่เริ่มปล่อยให้นักเรียนเริ่มมีประสบการณ์ตรงกับเป้าหมายมากขึ้น ระดับมัธยมที่ต้องเริ่มเผชิญกับชีวิตจริงบ้าง จนถึงระดับอุดมศึกษาที่ต้องเผชิญความเป็นจริงของชีวิต มีการสัมผัสกิจกรรมที่เป็นของจริงในชีวิต เป็นบทเรียนโดยตรง
ทั้งหมดของระบบการศึกษาต้องต่อเนื่องกัน แต่มีเนื้อหา รูปแบบแตกต่างกัน ที่ยังคงสอดคล้องกันอย่างเป็นชิ้นเดียวกัน
โดยมีการประเมินจากพฤติกรรมการพัฒนาของนักเรียน เป็นหลักสำคัญและเป็นแกนนำ ที่อาจมีเงื่อนไขของเวลาประกอบอยู่บ้างในเชิงความเหมาะสมและประสิทธิภาพของการทำงาน
จากข้อสรุปบทเรียนนั้น
แต่เราก็ต้องมีผลผลิตในทุกแบบและทุกระดับครับ ไม่ใช่ว่ามีแต่ดอกและผลเพียงอย่างเดียว อันนี้ได้เคยกล่าวไว้แล้วในระดับ “พหุปัญญา” กับการพัฒนาประเทศ
ซึ่งในแต่ละขั้นตอนนั้น ต้องมีปัจจัยและสภาพแวดล้อม ที่ทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่มีโอกาสเจริญเจิบโตในสภาพจริง
ไม่ใช่มีแต่สภาพแวดล้อมของต้นกล้าอยู่ในเรือนเพาะชำ ที่ต้นกล้าไม่มีโอกาสได้เติบโตได้จริง
ที่เปรียบไปก็เสมือนกับการเรียนในห้องเรียนสี่เหลี่ยม ตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม มัธยม และอุดมศึกษา
ที่มีแต่เรียนในห้องเรียน (Nursery) ที่มักจะไม่มีทรัพยากร และสภาพแวดล้อมมากพอที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ความรู้ ในระดับผลิดอกออกผลได้อย่างเต็มศักยภาพ
ดังนั้นถ้าเราจะดูแลนักเรียนเหมือนกล้าไม้ในเรือนเพาะชำ (ในห้องเรียนสี่เหลี่ยม) จึงไม่น่าจะพอให้ลูกหลานเราเติบโตทางด้านการเรียนรู้ได้ครับ
ลองคิดดูนะครับ ว่าเราจะจัดระบบการเรียนของลูกหลานของเราให้ดีกว่านี้ได้ไหมครับ แบบที่คล้ายกับคุณสมพรฝึกลิง จากในห้อง สู่ในร่ม สู่กลางแจ้ง และในสภาพจริงๆ อย่างเป็นขั้นตอน
ไม่งั้นลูกหลานเราก็ต้องอายลิง
เพราะแม้โอกาสในการเรียนรู้ยังสู้ลิงไม่ได้เลยครับ
อ่านข้อคิดของท่านอาจารย์แล้ว รู้สึกว่าเด็กรุ่นนี้ (หรือตั้งแต่รุ่นผม) อยู่ในเรือนเพาะชำกันนานจนขาดแดดขาด ขาดฝน ได้น้ำแต่พอดี และแดดรำไร แต่ไม่เคยเจอแดดเผา หรือพายุกันเลยนะครับ
ยิ่งสมัยนี้ยิ่งน่าเจ็บใจ เวลาเห็นใครๆ เรียนปริญญาโท เพราะไม่กล้าออกแดด
เรื่องร่างกายและการใช้ชีวิตนี่ผมเห็นด้วยมากๆ เลยครับอาจารย์ เพราะผมไม่เชื่อว่าจะเก่งยังไงก็ตาม ถ้าไม่แข็งแรง สุขภาพร่างกายและจิตใจไม่ได้ ก็เท่านั้น
ถ้ามีโอกาสผมคงต้องจัดทัศนศึกษาให้นักเรียนไปดูลิงบ้างแล้วครับอาจารย์
เอาลิงค่างกลางป่ามาฝึกสอน
เล่นละครลิงได้ดั่งใจหมาย
นี่เป็นคนทั้งแท่งแกร่งใจกาย
ฝึกไม่ได้อายลิง จริงไหมเอย.
เรียนท่านอาจารย์แสวง
เห็นด้วยกับทุกคนและอาจารย์ค่ะ เป็นกำลังใจให้อาจารย์ต่อสู้เพื่อประเทศไทย ว่าเรามีบุคลากรที่ทรงคุณภาพจริง ๆ
ขอบคุณณครับพันธมิตรที่จะช่วยกันทำให้เด็กไทยไม่ต้องอายลิงครับ
ครูบาครับ
การ "อายลิง" ของครูบานั้น คนได้รับฝึกแล้ว ไม่ดีขึ้น
แต่อายลิง นี้ แม้แต่โอกาสในการฝึกก็ยังสู้ลิงไม้ได้เลยครับ
เรียกว่า อายกำลังสอง เลยครับ
สงสัยคนคิดนิยายเรื่อง "พิภพวานร" จะได้ต้นคิดตรงนี้เองครับ