เวทีสรุปงานประจำปีที่นาคำกลาง ที่ดำเนินไปเมื่อปี ๔๗ เป็นเวทีที่ดำเนินไปท่ามกลางปัญหารอบด้าน
พ่อบัว สมาชิกที่เป็นหลักของกลุ่มกำลังป่วยหนักระหว่างที่เตรียมงาน
กลุ่มก็โลเล กลัวว่าเพื่อนจะเสียชีวิตระหว่างที่เรากำลังสรุปงานกันอยู่
กำหนดวันที่แน่นอนกันไม่ได้
สมาชิกน้อย ๑๐ กว่าคน
ตัวดิฉันเองก็เป็นตัวปัญหาด้วย เนื่องจากตนเองไม่รู้สึกมั่นใจในตัวชาวบ้านว่าจะทำได้เพราะชาวบ้านจะไม่พูดว่า เขาทำได้ และได้เตรียมการไว้เรียบร้อย แต่เขาจะบอกเราแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ก็น่าจะทำได้ คนอื่นทำได้พวกเขาก็น่าจะทำได้ พวกเราตามไปดูไปช่วยไปกำกับเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ ไปช่วยจริงจังกว่า ดงหลวงและอุ่มเหม้า ที่พวกเราเพียงแค่ไปดูพวกเขาทำงาน
ดิฉันสร้างปัญหาให้กับพวกเขา ด้วยการไม่บอกว่า จะเอานาใครเป็นจุดประชุม เพราะดิฉันมองไม่เห็นและไม่รู้สึกว่าควรจะเป็นที่ไหนดี ซึ่งต่างจากสองพื้นที่ที่จัดครั้งแรก เมื่อไปถึงที่นั้นก็รู้สึกทันทีว่า ตรงนี้แหละ และเห็นภาพว่าเวทีควรมีลักษณะอย่างไร
ดิฉันก็ไปประชุมกับพวกเขาหลายครั้ง จนเขาโมโห จะพูดอะไรก็ไม่พูดจะบอกว่าจะเอาที่ไหนก็ไม่บอก ดิฉันไม่บอกเพราะไม่รู้ จนถึงที่สุด เราก็เลือกพื้นที่กันได้ นาพ่อวิเชียร พ่อวิเชียร โสมี ซึ่งก็มีเพื่อนหลายคน ตั้งสมญานามใหม่ เป็นวิเชียร โสตาย ตัวผอมแกร่ง แต่น้ำใจนักเลง กว้างขวาง พูดน้อย แต่พูดออกมาแต่ละคำ เรียกเสียงเฮจากเพื่อน ๆ คู่กัดกันกับแม่ถนอม จากบ้านเหล่า ภรรยาคู่ใจชื่อ แม่ไหล เป็นคนขยันสุด ๆ พ่อวิเชียร เคยบอกกับพวกเรา ผมจะทำ และจะให้เวลา ๕ ปีกับการฟื้นไร่นากับกลุ่มนี้ ถ้าไม่ได้เรื่อง ผมจะหันหลังให้แล้วล่ะ จนกระทั่งบัดนี้พ่อก็ยังคงอยู่เป็นหลักให้กับกลุ่มแทนพ่อบัวอย่างเหนียวแน่น
ดิฉันรู้สึกเครียดแทนชาวบ้าน กลัวว่าจะจัดการได้ไม่ดี เพราะเป็นงานหนักมากสำหรับเจ้าภาพ นอกจากการเตรียมสถานที่แล้ว ทีมทำกับข้าวก็ต้องเข้มแข็งมาก ๆ เพราะต้องทำอาหารถึง ๑๕ มื้อ!!! ......ทำให้พวกเราออกไปดูพื้นที่ ทุก ๆ วัน เป็นเวลา ๑ เดือน
ชาวบ้านดูเขาก็ทำไป ไม่ได้วิตกกังวลอะไร เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกนึกคิดอะไรออกมา แต่กลุ่มที่ตื่นเต้นสุด ๆ จะเป็นเด็ก ๆ ที่บ้านนาคำกลาง ที่ตอนหลังพวกเขาเรียกตัวเองว่า กลุ่มเด็กฟื้นฟูต้นทุนชีวิตชุมชนท้องถิ่น เด็ก ๆ เข้ามาหาพวกเรา เวลาเราประชุม เวลาเราเตรียมสถานที่เด็กผู้ชายก็เข้ามาช่วยอย่างจริงจัง ส่วนเด็กผู้หญิงก็เสนอว่าจะนำการแสดงมาแสดงร่วม พวกเราตอบตกลง แต่ลูกต้องไปเตรียมเองนะ ป้าจะไม่ได้ช่วยอะไร...เด็ก ๆ ตกลง เราไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็นว่าพวกแกทำอะไรบ้าง
เมื่อถึงช่วงที่พวกเราเตรียมเวทีได้ ๘๐% แล้ว เริ่มแต่งหน้าเวที เด็กผู้หญิงเริ่มเข้ามาเมียงมอง ปั่นจักรยานกันมาเป็นทิวแถว เสียงแซ่ดมาก่อนตัว ชุลมุน รวมทั้งตัวเล็กรุ่นก่อนป. หนึ่งก็ตามมากันเป็นพรวน ...
พวกสูพากันมาทำไป
พวกข้อยจะมาดูเวที
ไป รีบหนีไปไกล ๆ เดี๋ยวจะมาเหยียบต้นไม้ตาย เดี๋ยวเวทีเพิ่นจะพังฮ่วย ไม่มาดูแล้วจะรู้อย่างไรว่าจะฟ้อนตรงไหน ก็ต้องมาดูไว้ก่อน
เด็ก ๆ ไม่กลัวคำดุด่าจากพ่อวิเชียร ที่ปากแกเป็นอย่างนั้นเอง ปากร้ายแต่ใจดี
เมื่อถึงเวลาการแสดงเด็ก ๆ เหล่านี้ พวกแกพากันแต่งตัวเอง แต่งหน้าเองพร้อมเพรียง ตั้งใจเต็มกำลังตั้งแต่เด็กอนุบาลถึงเด็กมัธยมปีที่หนึ่ง เรียงลำดับไหล่ ๑๕ คน ฟ้อนไป ผ้าถุงหลุดบ้าง สะไบหลุด เข็มขัดหลุด กางเกงขาสั้นที่ซ้อนข้างในผ้าถุงหลุดบ้าง แต่เด็กพวกนี้ไม่สน ไม่อาย ใจจรดจ่ออยู่กับการแสดง พวกผู้ใหญ่พากันวิ่งกันพล่าน ช่วยกลัดผ้าให้ใหม่ มัดผ้าถุงให้เข้าเอว ผ้ารัดอก เนื่องจากแกยังเด็กเกินไปมัดแน่นแค่ไหนพอฟ้อนไป ขยับร่างกายไป ผ้าผ่อนเหล่านี้มันก็หลุด ไม่มีเนื้อให้ติด แม้จะผ้าผ่อนหลุดแต่แกไม่หยุดการฟ้อนรำ พวกเราทั้งหัวเราะ และชื่นชมในจิตใจ ความตั้งใจของเด็กเหล่านี้ แม่แก้วยังเหล่าแถมท้ายอีกว่าเพลงที่เปิดประกอบนั้น(เป็นเมดเล่ย์) ถ้าไม่ปิดเด็กพวกนี้ก็จะฟ้อนอยู่อย่างนั้นแหละ ไปได้เรื่อยๆ ....
ตอนกลางวัน บางช่วงที่ผู้ใหญ่ไปทำกิจกรรมนอกเวทีประชุม เด็กเหล่านี้ก็จะพากันมาจับจองเครื่องดนตรี พิณ แคน โหวต โปงลาง เคาะ ป๊อง ๆ แป๊ง ๆ ไปตามเรื่อง พวกเขาสนใจ..... พอผู้ใหญ่มา พวกเขาก็หยุดเล่น ....การเรียนแบบง่าย ทิ้งเครื่องมือที่เขาสนใจไว้แล้วไปแอบดูพวกเขา เข้าหาเครื่องมือเหล่านี้แบบธรรมชาติ ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ ร่วมกับผู้ใหญ่..... ความกล้าหาญ ไม่กลัวใครของเด็กนาคำกลางนี้ มีผู้สังเกตุการณ์บางคนเห็น ถึงกลับเอ่ยปากว่า เด็กพวกนี้ ถ้ามีการนำดี ๆ ก็จะดี จะเก่งสุด ๆ เลย แต่ถ้าเป็นอีกทางตรงข้าม ก็คงเป็นมหาโจรไปเลย....
จนกระทั่งปัจจุบัน เด็กพวกนี้ก็ได้มีแปลงผักของตนเอง ปลูกผักกันเป็นกลุ่มทุกปี ร่วมกิจกรรมกับผู้ใหญ่เรื่องการออมทรัพย์ และร่วมทำงานด้านข้อมูลในบางเรื่อง ดิฉันอยากจะทำอะไรที่มากกว่านี้ แต่ต้องสารภาพว่าไม่มีปัญญาเพียงพอ ก็ได้แต่ขับเคลื่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามเงื่อนไขข้อจำกัดของตนเอง .....น่าเสียดายเพชรงามเม็ดนี้
อ่านแล้วรู้สึกประทับใจและเห็นภาพชัดแจ่มแจ้ง... เด็กๆมักทำให้เราเห็นคุณค่าของเวลาและเห็นศักยภาพของตัวเราเองอยู่เสมอ... อยากให้... แต่ติดที่เวลาและกำลัง...ถามว่าจะทำอย่างไรดี... ก็ขอเป็นกำลังใจว่าทำงานกับพ่อแม่ของพวกเขาให้ดีที่สุด
คุณหมอของหนูเคยแนะนำว่าถึงอย่างไรเด็กเขาก็มีพ่อมีแม่ของเขาเอง...เราคงเข้าไปทำอะไรได้ไม่มากหลายครั้งหนูต้องยอมจนใจและปล่อยให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยของเด็กแต่ละคนไป
ผมเกรงว่าหลังจากเจียรนัยแล้วจะขึ้นหิ้งครับ
เก็บไว้อย่างนั้นคุณค่ายังเต็มๆกว่านะครับ
ขอมองต่างมุมครับ