วันนี้ได้รับแฟกซ์คำสั่งคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการที่ 8/2550 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ เกี่ยวกับการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยมของระบบราชการ โดยมีนายธรรมรักษ์ การพิศิษฏ์ เป็นประธานอนุกรรมการ, นายชุมพล พรประภา เป็นรองประธานและผมร่วมเป็นอนุกรรมการ
ที่จริงผมร่วมเป็นอนุกรรมการชุดนี้มาหลายปีแล้ว ยังคิดอยู่ว่าเขาน่าจะปรับเปลี่ยนตัวอนุกรรมการบ้าง แล้วเขาก็ปรับจริง ๆ
ในคำสั่งระบุเจตนารมณ์ในการมีคณะอนุกรรมการชุดนี้ ดังนี้
"โดยที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะมุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรบุคคลและการจัดการภาครัฐให้สอดคล้องกับทิศทางการนำพาประเทศไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งนโยบายสำคัญประการหนึ่ง คือ การส่งเสริมให้การรับราชการมีความเป็นมืออาชีพ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถดำรงชีพอย่างพอเพียงมีมโนสุจริต ตลอดจนมีสมรรถนะขีดความสามารถในการให้บริการประชาชน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง และมีทัศนคติการทำงานโดยยึดถือประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ"
ผมติดใจคำว่า พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าคิดให้ลึกไปเรื่อย ๆ จะพบว่า หมายถึงเป็นบุคคลเรียนรู้ (Learning Person) และนั่นหมายความว่า หน่วยราชการต้องเป็นองค์กรเรียนรู้ (Learning Organization)
คำสั่งนี้ระบุอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้ดังนี้
"2.1 กำหนดแนวทาง มาตรการ และวิธีการในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยมของระบบราชการ เพื่อให้ระบบราชการปรับเปลี่ยนไปสู่กระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์
2.2 เสนอแนะการจัดการระบบบริหารจัดการและสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยมของระบบราชการ
2.3 ส่งเสริม สนับสนุน เร่งรัด และติดตามให้หน่วยงานภาครัฐปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยม
2.4 แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามคำสั่งนี้
2.5 เรียกให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐจัดส่งเอกสารข้อมูล เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงและดำเนินการอื่น ๆ แก่คณะอนุกรรมการและผู้ได้รับแต่งตั้งหรือได้รับมอบหมายตามคำสั่งนี้
2.6 ปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการมอบหมาย"
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของการทำหน้าที่อนุกรรมการชุดนี้ ผมได้เสนอยุทธศาสตร์คู่ขนาน คือ กพร. เขามียุทธศาสตร์กำหนดมาตรการการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก ที่ผมเรียกว่ายุทธศาสตร์ outside - in ซึ่งก็ควรดำเนินการต่อไปและปรับปรุงให้ได้ผลยิ่งขึ้น
ยุทธศาสตร์คู่ขนานที่ผมเสนอ อาจเรียกว่ายุทธศาสตร์ inside - out หรือยุทธศาสตร์งอกงามขยายพืชพันธุ์จากภายใน โดยตั้งสมมติฐานความเชื่อว่า บุคคล/หน่วยราชการที่มีกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยมที่ดีตรงตามความปรารถนาที่กำหนดนั้น มีอยู่แล้ว ต้องดำเนินการค้นหาให้พบ และเข้าไป "รดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย" ให้งอกงามขยายพืชพันธุ์ ซึ่งทำได้โดยใช้วิธีการ KM + AI
ผมเสนออย่างนี้มาหลายปี แรก ๆ ก็เข้าใจยาก ตอนหลัง ๆ คณะอนุกรรมการโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านประธาน & รองประธานเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่พอถึงตอนปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ของ กพร. ทำไม่ออก ทำงานส่งเสริมการงอกงามจากภายในไม่เป็น
ผมสงสัยกับตัวเอง ว่ากระบวนทัศน์อำนาจนิยมมันอาจเกาะกินฝังใจพวกเราทั้งสังคม จนคนของ กพร. เองก็ไม่สามารถแหวกกรอบกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยมแบบอำนาจนิยม ควบคุม & สั่งการได้
ก็คงต้องหาทางช่วยกันแกะสนิมกระบวนทัศน์ฯ ที่มันครอบงำสังคมไทยของเราออกไปให้ได้ จะมาตำหนิกันก็คงไม่เกิดประโยชน์
วิจารณ์ พานิช
18 ม.ค.50
อาจารย์หมอครับ
ผมอยากเห็นเรื่องนี้เกิดจริงๆสักที แต่แม้วันนี้ ผมก็ยังไม่กล้าฝากความหวังกับท่าน คณะกรรมการ หรือใครๆ หรอกครับ
กลัวจะเสียความสัมพันธ์อันดี และผิดหวังครับ
และผมก็อกหักกับเรื่องนี้จนชินชาซะแล้วครับ
กับแค่ KPI ไร้สาระในระบบราชการ ก็ยังทำเล่นทำหัวตบตาชาวบ้านกันอย่างไม่สนใจใคร
ดีที่คนไทยส่วนใหญ่เขาไม่สนใจมาตามดูระบบราชการนะครับ
ถ้าเกิดเขาสนใจจริงๆ มานั่งดูการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ทำงานหลอกชาวบ้านไปวันๆ
ผมอยากทราบเหลือเกินว่าข้าราชการเหล่านั้น ยังจะกล้าเชิดหน้า ประดับเหรียญตราถ่ายรูปโชว์กันอีกหรือเปล่า
หรือเขาก็ชินกับการอยู่ในโลกเน่าๆแบบนั้นไปอย่างเป็นธรรมดาไปซะแล้วครับ