นอกเหนือจากการทำงานในมหาวิทยาลัยแล้ว ผมยังมีประสบการณ์การทำงานเป็นที่ปรึกษามาเกือบตลอดอายุการทำงานของผม
โดยเฉพาะที่สำคัญที่ได้ทำงานในโครงการเกษตรยั่งยืนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีฐานที่ตั้งอยู่ที่กรมวิชาการเกษตร และมีฐานปฏิบัติงานอยู่ที่ สวพ.ทั้ง ๘ เขต ทั่วประเทศไทย พบว่า การทำงานของระบบราชการไม่ค่อยจะสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศเป็นส่วนใหญ่ และมักจะช้ากว่าแผนที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี โดยไม่แน่ใจว่า สาเหตุลึกๆที่แท้จริงคืออะไร แต่จากการเทียบเคียงกับระบบที่ผมทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็พอสามารถคาดเดาได้บ้าง พอสมควร
เช่น แผนพัฒนาเกษตรผสมผสาน ๒๕ ล้านไร่ ซึ่งกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๖ ได้มีการนำมาปรับเข้าสู่แผนการปฏิบัติงานในระบบราชการ ในระยะแผนที่ ๘ และแม้จะปรับเข้าสู่แผนการทำงานในแผนที่ ๘ แล้ว การปฏิบัติที่ค่อนข้างจริงจัง กลับอยู่ในแผนที่ ๙ แต่ก็ไม่ได้เต็มที่มากนัก แม้จะเลยแผนที่ ๙ มาแล้วก็ตาม
ลักษณะดังกล่าวนี้ เป็นปัญหาใหญ่ของระบบการพัฒนาที่ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบได้โดยง่าย
สาเหตุที่เป็นอุปสรรคที่สำคัญ เท่าที่ทราบก็คือ ระบบการปรับตัวของราชการไม่ค่อยทันกับการแก้ปัญหาที่สำคัญ และวิกฤติของชาติ เนื่องด้วยสาเหตุหลายประการ ดังนี้
จากการประมาณสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น เป็นระบบที่เป็นขีดจำกัดในระบบราชการ จนทำให้การทำงานไม่ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่ข้าราชการส่วนใหญ่ก็พยายามดิ้นรนที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติอย่างเต็มกำลัง
แต่ก็ยังติดขัด ด้วย
เมื่อผมมองในระบบการทำงานของข้าราชการแล้ว ผมรู้สึกเห็นใจคนที่ทำงานในระบบราชการค่อนข้างมาก แต่ผมก็เห็นใจเฉพาะคนตั้งใจทำงานนะครับ คนที่ไม่ตั้งใจทำงาน เป็นกาฝากไปวัน ๆ ก็มีอยู่มากครับ แต่คนกลุ่มนี้จะระวังในการทำอะไรก็ได้ให้ผ่านเกณฑ์การประเมินทุกข้อ โดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลงานอย่างใดหรือไม่ จึงประเมินผ่านสบายๆทุกครั้ง แต่คนที่ทำงานจริงที่ไม่ค่อยสนใจเกณฑ์การประเมิน อาจจะตกเกณฑ์ได้ง่ายมาก
จากกรณีตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า การวางแผนใด ๆ ในระบบการพัฒนาประเทศ ระบบราชการจะปรับตัวตามหลังได้ทันภายใน ๑๐ ปีข้างหน้า แต่เมื่อ ๑๐ ปีมาถึง สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว ในที่สุดก็ต้องปรับตัวใหม่อีก จนบางครั้งแทบไม่ต้องทำงาน มีแต่ปรับตัวเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนเกษียณ แล้วก็เลิกกัน จนอาจจะนับไม่ได้ว่า ในรอบ ๒๐ หรือ ๓๐ ปีที่ผ่านมา ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไว้บ้าง
สถานการณ์เช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่อันตรายต่อการพัฒนาประเทศ และเป็นเรื่องที่อึดอัดสำหรับคนที่ตั้งใจทำงาน
แต่กลายเป็นเรื่องโชคดีกับพวกกาฝากสังคม ที่จะถือเป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำงาน เนื่องจาก
พอเตรียมเสร็จก็สายพอดี ไม่ต้องทำงาน แล้วก็เริ่มต้นวงจรใหม่อย่างนี้เรื่อยไป
ฟังแล้วเหนื่อยไหมครับ ผมอยู่ในระบบราชการที่พอจะรู้ข้อเด่นข้อด้อย ผมเลยไม่ค่อยมองเรื่องเหล่านี้ให้เสียความรู้สึกครับ ผมอยากจะทำอะไร ผมก็ทำเลย ออกนอกกรอบไปเลย
ถ้าผมรอระบบราชการ ป่านนี้ผมคงยังพิมพ์งานในคอมพิวเตอร์ไม่เป็น เพราะไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ผมใช้ที่จะทำงานได้จริงจัง ผมอาจจะไปไหนมาไหนไม่ได้ เพราะไม่มีรถให้ผมใช้ ผมอาจจะไม่มีงบประมาณเดินทางไปประชุมกับชาวบ้านทั่วไป
แล้วผมก็อาจใช้ข้อจำกัดดังกล่าว เป็นข้ออ้างที่จะนอนอยู่บ้านสบายๆ รอเงินเดือนเข้าบัญชีทุกเดือน ก็พอแล้ว
ดีไหมครับ...
ถ้ามีรายการฟันธง
1 ระบบราชการเป็นตัวถ่วงการพัฒนาประเทศ ส่วนหนึ่ง
2 ระบบราชการด้อยประสิทธิภาพ ไปแพร่ขยายเชื้อโลเล อ้อยอิ่ง สุกเอาเผากิน
3 ระบบราชการต้องลดน้ำหนัก ก่อนจะเป็นโรคมันจุกอก เบาหวาน ความดันทุรังสูง น่าเบื่อ น่ารำคราญ
4 ระบบราชการโดยรวมใช้งบประมาณไม่คุ้มทุน
5-100,000 ช่วยเติมคำลงในช่องว่า
6 ข้อที่100,001 คนไทยจะหวังอะไรได้จากระบบนี้
7 ข้อที่ 100,002 จะทำยังไงถึงจะช่วยให้ระบบราชการดีขึ้น ให้ข้าราชการมีความสุข ทำหน้าที่ได้เติมประสิทธิภาพ
ผมว่าระบบราชการที่สบายที่สุดครับ
เข้ายากบ้างง่ายบ้าง แต่สบาย และออกยากครับ ทำเลวขนาดไหน ขอให้เลี้ยงเพื่อนบ้าง อยู่ได้สบายครับ
แต่ทำดีขนาดไหน ไม่เลี้ยงเพื่อน ก็ไม่ก้าวหน้าครับ
ระบบ "กินเหล้า เฝ้าสนามบิน" จึงนิยมกันมากที่สุดครับ
มีแค่นี้เองแหละ ท่านทั้งหลาย
อย่างอื่นที่พูดมาเป็นผลพลอยเสียครับ
ใครจะคิดหาญมาเปลี่ยนแปลง แค่คิดก็ไม่ได้เกิดแล้วครับ
อย่าหวังว่าจะได้เป็นใหญ่มาแก้ไขความทุกข์เข็ญ
ใครอยากเป็นใหญ่ต้องแกล้งโง่ครับ ถ้าโง่จริงๆยิ่งดี คนจะไว้ใจให้เป็นใหญ่ได้ตลอดชีวิตที่ท่านยังโง่อยู่
ถ้าแสดงความฉลาดมาแม้แต่นิดเดียว จะถูกปลดกลางอากาศ หรือเดินขบวนไล่ออกทันที
แล้วคนโง่ที่ไหนจะกล้าฉลาด ละครับท่านครูบา