นี่คือชื่อบทที่ ๒ ของหนังสือ และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ การเมือง วัฒนธรรม ของนักศึกษาและปัญญาชนก่อน ๑๔ ตุลาฯ โดย ประจักษ์ ก้องกีรติ ที่ผมลงข้อสะท้อนคิดจากการอ่านบทที่ ๑ และบทนำไปแล้วที่ (๑)
ผมทั้งอ่านหนังสือ และทบทวนความจำของตนเอง ว่าผมจำเรื่องราวทางสังคมการเมืองไทยช่วงปี ๒๕๑๐ – ๒๕๒๐ ได้อย่างไรบ้าง โดยที่ช่วงนั้นชีวิตผมหมกมุ่นอยู่กับการสร้างตัวทางวิชาการ เน้นที่การวิจัย
เมื่ออ่านหนังสือ ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า หากการก่อตัวและวาทกรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นในช่วงนี้ จะมีปฏิกิริยาจากผู้ครองอำนาจ และจากสังคมโดยทั่วไปอย่างไร ถามต่อว่า ที่จริงก็ไม่ใช่ว่านิสิตนักศึกษาในปัจจุบันจะไม่ก่อตัวทางสังคม แต่การก่อตัวในปัจจุบันแตกต่างจากสมัย ๕๐ ปีก่อนอย่างมากมาย นิสิตนักศึกษาสมัยก่อนก่อตัวโดยแสดงเป้าหมายเพื่อช่วยคนยากคนจน และเพื่อบ้านเมืองอันเป็นส่วนรวม นิสิตนักศึกษาสมัยปัจจุบันก่อตัวเพื่อแสดงออกต่างอย่างไร ถ้าจะตีความว่าค่อนไปทางเน้นตัวตนของตนเอง จะผิดหรือไม่
สมัยนั้น สื่อทางสังคมที่มีผลกระตุ้นสำนึกของผู้คน โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษา เป็นสื่อวารสารและหนังสือ สมัยนี้สื่อมีความหลากหลายมาก และผู้สื่อสารก็ทำได้ทุกคนทางโซเชี่ยลมีเดีย ทำให้การสื่อสารอุดมการณ์เพื่อสังคมที่ทำได้สะดวก หรือมีทิศทางเป้าหมายชัดเจนได้ง่าย เมื่อ ๖๐ ปีก่อน ทำได้ยากแล้วในสมัยนี้ คิดอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
หนังสือบอกว่า สมัยนั้นการก่อตัวมักมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีลักษณะพิเศษจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ หลังจากนั้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขยายคณะวิชาออกไปจนครอบคลุมเกือบทุกสาขา เป็นปัจจัยให้สังคมนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เปลี่ยนไป ผมตีความว่า ปัจจัยหนุนให้มีการก่อตัวทางสังคมและการเมืองจึงลดหย่อนลงไป เป็นไปได้หรือไม่
ข้อความใน ๗๙ หน้าของหนังสือ เล่าเรื่องการก่อตัวของนักศึกษา และของปัญญาชน ที่ทั้งเชื่อมโยงและไม่เชื่อมโยงกัน ที่เชื่อมโยงกันคือ ผ่านทางเอกสารที่เป็นหนังสือและวารสาร ที่เดิมถูกคุมเข้มงวด วารสารที่เด่นที่สุดคือสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ที่แม้ผมจะซื้อ และต่อมาบอกรับเป็นสมาชิก ก็ไม่รู้รายละเอียดของกำเนิดอย่างที่ระบุในหนังสือ นอกจากนั้นยังมีวารสารอื่นๆ อีกมากมาย ที่หนอนหนังสืออย่างผมมีความสุขมาก ที่ได้ระลึกชาติกลับไปกว่าครึ่งศตวรรษ ที่รับรู้แต่ไม่เคยได้อ่านคือหนังสือนักศึกษาเล่มละบาท
การก่อตัวของนักศึกษา ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลของนักเรียน นักเรียนอาชีวศึกษา และนักศึกษาในต่างจังหวัด ผมได้เรียนรู้เรื่องการก่อตั้งคณะศิลปศาสตร์ที่เริ่มรับนักศึกษาในปี ๒๕๐๕ และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปี ๑ - ๒ ทุกคณะต้องเรียนร่วมกันที่คณะนี้ ส่งผลให้เกิดการรวมตัวกันง่ายของนักศึกษา เพราะสนิทกันข้ามคณะ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุนี้หรือไม่ที่ระบบนี้สลายไปในที่สุด ไม่มีบอกไว้ในหนังสือ
รายชื่อปัญญาชนที่ระบุในหนังสือนั้น อีก ๒ ทศวรรษต่อมา เมื่อผมมาเริ่มงาน สกว. ในปี ๒๕๓๖ ก็ได้หลายท่านมาเป็นผู้นำด้านการวิจัยด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ท่านที่มีสีสันมากที่สุดคือ ศ. ดร. สมศักดิ์ ชูโต ที่มาด้วยชุดสากลสีสดใส พร้อมกล้องถ่ายรูปคู่ใจ คำคมที่ผมได้ติดตัวมาคือคำถามว่า Are you part of the problem or part of the solution? ผมถามตัวเองบ่อยๆ เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาหรือเรื่องที่ซับซ้อน ท่านหนึ่งกลายเป็นเพื่อนสนิทและนัดพบกันในกลุ่มสี่สหายมาจนบัดนี้ คือ ศ.ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา
อ่านบทที่ ๒ จบ ผมอยากให้ท่านผู้เขียน คือ ประจักษ์ ก้องกีรติ ทำวิจัยว่า ๖๐ ปีผ่านไป กระบวนการการก่อตัวทางสังคมของนักศึกษา และเครือข่ายทางวาทกรรมของปัญญาชนมีลักษณะต่างออกไปอย่างไร มี impact ต่อ social transformation ของสังคมไทยอย่างไร
วิจารณ์ พานิช
๒ มี.ค. ๖๗
ไม่มีความเห็น