เน้นค้น (และเค้น) หาปัจจัยของความไม่เสมอภาค และหากุศโลบายและกลยุทธสร้างกลไกที่เป็นบวก ต่อสุขภาวะของโลก
Plenary 3 นำเสนอรูปธรรมของการแสวงหา ทดลอง วิธีปลดแอก ที่ฟังแล้วผมสรุปว่า ต้องมีวิธีปลดแอกความรู้ที่ครอบงำ ด้วย Delearn และ Relearn ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และประเทศ นำสู่การขับเคลื่อนการเปลี่ยนขาดระบบธรรมาภิบาลสุขภาพโลก จากการอยู่ภายใต้ผลประโยชน์อื่นๆ สู่ผลประโยชน์ด้านสุขภาพ
รูปธรรมที่แท้จริงอยู่ที่ Parallel Session ที่มี ๕ ห้องพร้อมกันคือ
PS 3.1. Economic and Overseas Development Aid ว่าด้วยเรื่อง (๑) การกระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียม (๒) จัดลำดับความสำคัญตามแต่ละพื้นที่ (๓) การเมือง (และความลวง - ผมเติมเอง) ของความช่วยเหลือ (๔) บทบาทของธนาคารเพื่อการพัฒนา (๕) รูปแบบใหม่ของระบบการเงิน
PS 3.2. Decolonizing Knowledge Production and Utilization ที่ผมคิดว่า ประเทศ LMICs ต้องร่วมกันให้นิยามเรื่องความรู้ใหม่ และหาทางสร้างระบบใหม่ ด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์ (experiential learning) ผสานกับการเรียนรู้ด้วยเครื่องมือ DE – Developmental Evaluation
PS 3.3. Decolonizing Institutions and Governance : Moving from Rhetoric to Reform?
PS 3.5. Human Resource for Health Migration through the Lens of Decolonization
ผมไปเข้า PL 3.2 ที่บรรยายนำโดยศาสตราจารย์ David McCoy, Professor of Global Public Health, Institute of Population Health Sciences, Queen Mary University, London ให้นิยามคำว่า colonialism ว่าหมายถึงการที่ประเทศหนึ่งเข้าไปยึดครองอีกประเทศหนึ่ง พลเมืองของประเทศถูกยึดครองต้องยอมจำนน ต้องปฏิบัติตาม, เขาใช้คำ Domination – Subjugation – Exploitation – Misappropriation – Extraction เป้าหมายคือ Resources ที่ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรมนุษย์ เงิน และสิ่งที่เป็นนามธรรม แต่ในโลกสมัยใหม่ มี neocolonialism ที่ซ่อนเร้น ไม่มีการยึดครองอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ใช้วิธีบังคับขู่เข็ญ แต่มีวิธีที่แยบยลในการทำให้พลเมืองในประเทศอื่นทำตาม และผมขอเพิ่มเติมว่า ทำได้ในพื้นที่กว้างขวางกว่าด้วย
ที่ซ่อนเร้นยิ่งกว่า คือระบบการเงินและธุรกิจโลก ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมรุนแรงในโลก ดังมีข้อมูลว่า มหาเศรษฐีโลก ๘ คน มีทรัพย์สมบัติเท่ากับประชากรโลกส่วมที่ยากจนที่สุด ๓,๖๐๐ ล้านคน และคนร้อยละ ๑ ที่รวยที่สุดในโลก มีทรัพย์สมบัติมากกว่า ๒๐ เท่าของทัพย์สมบัติของคนครึ่งโลกส่วนที่ยากจน
ท่านจับประเด็นเรื่อง Global University Ranking ว่าเป็นเครื่องมือที่โลกตะวันตกคิดขึ้นเมื่อ ๒๐ ปีมานี้เอง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือครอบงำโลกวิชาการ
Tikki Pang, ศาสตราจารย์ด้านจุลชีววิทยา ที่ผมรู้จักเมื่อ ๒๐ ปีก่อน สมัยผมไปเป็น Advisory Committee on Health Research ที่ WHO Geneva และท่านเป็นเจ้าหน้านี่รับผิดชอบงานนี้ของ WHO ตอนนี้ท่านมาอยู่ที่สิงคโปร์ เป็น visiting professor ที่ NUS อธิบายความหมายของความรู้ที่เป็นทางการ ความรู้เฉพาะถิ่น และควมรู้ชนเผ่า ท่านให้ประโยคทองไว้ว่า Knowledge can be global. But the use of knowledge is always local.
ตามด้วยการนำเสนอเรื่อง Perverse effect of global health policies and perpetuating health inequities in sub-Saharan Africa โดย Angele Flora Mende & Jesse Bump ที่ศึกษาใน ๑๕ ประเทศ และค้นข้อมูลมากมาย สรุปได้ว่า นโยบายของหน่วยงานและประเทศที่เข้าไปช่วยเหลือ ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางสุขภาพ ต้นเหตุที่เห็นชัดที่สุดคือ เข้าไปช่วยเหลือหลายประเทศด้วยวิธีการเดียวกัน ทั้งๆ ที่บริบทของประเทศเหล่านั้นแตกต่างกัน
ลงท้ายด้วยเรื่องภาษาถิ่นที่ถูกบิดเบือนโดยเจ้าอาณานิคม คือคำว่า amok ในภาษามาเลย์ ถูกประเทศตะวันตกนำไปใช้ในความหมายที่บิดเบือน ถือเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งในกลุ่มที่เรียกว่า culture bound syndrome ผมค้นพบคำอธิบายในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ที่ (๑)
ผมสรุปกับตนเองว่า ระบบธรรมาภิบาล (governance) เอง อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการครอบงำ (ทั้งโดยกลไกโลก และกลไกประเทศ) รวมทั้งกติกาที่ดี เมื่อเวลาผ่านไป บริบทต่างออกไป อาจกลายเป็นกติกาที่ไม่เหมาะสม ต้องมีการตั้งข้อสงสัยกติกาทั้งหลาย และมีการตรวจสอบความเหมาะสมของกติกาเหล่านั้นผ่าน การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (experiential learning)
เมื่อฟังเรื่องความรู้เฉพาะถิ่นและความรู้ชนเผ่า ผมก็นึกถึงบันทึกชุด เรียนรู้จากประสบการณ์ โดยเฉพาะตอนที่ ๒๙ ที่เอ่ยเรื่อง คุณค่าของภูมิปัญญาโบราณ
วิจารณ์ พานิช
๒๖ ม.ค. ๖๗ ห้อง ๔๖๑๐ โรงแรมเซนทารา แกรนด์ ปรับปรุงเพิ่มเติม ๒๘ ม.ค. ๖๗ ที่บ้าน
ไม่มีความเห็น