เพลงที่ไพเราะที่สุดในโลก
ผมเชื่อว่า เรามีเพลงที่ชอบฟัง ชื่นชอบหรือประทับใจไม่เหมือนกัน แม่ใหญ่อาจจะชอบเพลงหมอลำ พ่อใหญ่ชอบเพลงลูกทุ่ง คุณลุงคุณป้าชอบร้องลิเก คุณอาชอบเพลงสตริง หนุ่มซึ่งรุ่นกระเตาะอาจเจาะจงฟังเพลงกลุ่มเฮ้วๆ ดังนั้นเรื่องของเพลงนี่บังคับกันไม่ได้จริงๆ ถือเป็นเรื่องประจำตัวประจำใจ เพื่อนสนิทจะยกเป็นหัวข้อสนทนา แลกเปลี่ยนเพลง ชวนกันร้อง เพื่อนคู่หูจะรู้ว่าคนสนิทของตนชอบเพลงอะไร เรื่องนี้ก็แปลกนอกจากจะรู้อุปนิสัยใจคอแล้ว เพลงกลายเป็นตัวกำกับหนึ่งในเกณฑ์ของคำว่ารู้ใจ ใช้วัดระดับมาตรฐานของความสนิทสนมได้
เพลงจึงเป็นเครื่องมือสื่อสัมพันธไมตรีระหว่างเพื่อนและคนที่รู้ใจ บางคนบอกความสบายใจผ่านเสียงเพลง ว่าตนเองนั้นชอบเพลงอะไร เพื่อนผมบางคนท่าทางทันสมัยไฮโซจ๋า กลับมาชอบเพลงลูกทุ่ง “ผ้าขาวพาดบ่า” ผ่าไปคนละโลกกับทีท่าและลีลา บางคนเอาจริงเอาจังทุกเรื่องรวมทั้งเพลงด้วย ประกาศเลยว่าเพลงประจำชีวิตจิตใจของตนนั้นคือเพลง”ความฝันอันสูงสุด” นอกจากฟังเอง พูดถึงแล้ว ยังใช้เทคโนโลยีแทรกส่งมาให้เราได้รับฟังด้วย นี่ก็ใช้ความพยายามที่จะเอาเพลงมาเป็นกุญแจใจไขไปบอกเจตนารมณ์ของตนไปทั้งโลก
ผมไม่ถัดร้องเพลง แต่ก็ชอบฟังเพลงไม่ปักใจว่าจะเป็นเพลงประเภทอะไร ลูกทุ่งก็ฟังได้ ลูกกรุงก็ชอบ เพลงคลาสสิกวันครบรอบโชแปงส์ ก็คว้าบันไดไต่ขึ้นไปฟังมาแล้ว แสดงว่าหูผมไม่เกี่ยงเรื่องเพลง แต่ถ้าจะถามว่าเพลงอะไรเพราะที่สุด ตอบไม่ได้ มันเพราะเป็นบางช่วงบางจังหวะ แต่เพลงไหนที่ชอบฟังเมื่อไหร่ก็ชอบ บางคนที่มีหัวนวัตกรรมทางเสียงเพลง ไม่ฟังเฉยๆกลับไปแปลงเนื้อเพลงล้อเลียนก็มี
..เธออยู่ไหน
ฉันนั่งขี้..ที่รักจ๋า..
เพลงช่วยให้บรรยากาศคลายเครียดไปอักโข บางคนคุณแม่เปิดเพลงให้ฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง คลอดออกมาไมทันไร ก็อ้อแอ้ แอ้จา แอ้จ้า แอ้จ๋า..พวกเลี้ยงไก่ใครก็ไม่รู้บอกว่า ถ้าเปิดเพลงเย็นๆของสุนทราภรณ์ให้ฟังจะไข่ดก สรุปว่าเพลงเป็นอาหารใจที่ใครๆก็ชื่นชอบ..ชนใดไม่มีคนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก ใครไม่อยากพิกลพิการก็ฮัมเพลงได้แล้วนะจ๊ะ..
ท่านเม็กดำ1 ส่งเทียบเชิญมานานแล้ว เมื่อวานนี้คณะมหาชีวาลัยยกทีมไปโรงเรียนบ้านเม็กดำ โดยมีท่านเล่าฮูแสวง รวยสูงเนิน และแม่บ้านไปร่วมทบทวนการใช้บล็อกของคณะครู เราชวนกันจรลีขึ้นรถ ข้ามแม่น้ำมูลข้ามทุ่งกุลาร้องได้ไปตอนสายๆ แดดกำลังอุ่น ลมเย็นๆสบายๆกำลังดี พอรถถึงที่โอ้โฮอะไรกันนี้ เด็กเป็นกลุ่มๆจุ้มโน้นจุ้มนี้ มีร่มไม้ใบบังนักเรียนตัวจ้อยออกมาเรียนมาทำกิจกรรมเต็มบริเวณ ชั้นโน้นเรียนวรรณกรรม เด็กอนุบาลเรียนแบบบูรณาการ คุณครูชวนเรียนเลขผสมผสานไปกับภาษาอังกฤษ ดูแวดตาท่าทางอิ่มสุขอิ่มความรู้กันเหลือเกิน หนูๆชูมือแข่งกันตอบคำถาม ยิ้มหัวเราะกับเชิงชั้นการสอนของคุณครูอย่างสนุก เห็นแล้วอยากจะทอนอายุมานั่งเรียนกับกลุ่มนี้จังเลย
ตรงจุดนี้ ทำให้ได้คิดว่า ถ้าจะประเมินมาตรฐานการศึกษา ควรถามหาคุณภาพเป็นอย่างไร จับเอามาตรฐานนี้ได้ไหมครับ “สอนอย่างไรให้มีความสุข” “มีวิธีการบริหารธรรมะนำหน้าวิชาการอย่างไร” เท่าที่เห็นมีแต่เรียนและสอนที่เป็นทุกข์ร่วมกันอย่างเขม็งเกลียวทั้งครูและนักเรียน แต่ที่นี่..วิชาศิลปะวาดเขียนเรียนรวมชั้น ป.1-2-3 เขาทำยังไงรู้ไม่ครับ เด็กๆไปขุดปูในท้องนามาเป็นแบบ ไต่ยั้วเยี้ยให้เห็นชีวิตที่เคลื่อนไหว เด็กๆถอดเสน่ห์ของชีวิตปูลงหน้ากระดาษระบายสีสวยงาม บางคนก็ค้นเรื่องปูเพิ่มเติมจากหนังสือสารานุกรมไทย(ที่มีอยู่เล่มเดียวเด็กใช้จนจะเปื่อยยุ่ยแล้ว)
ถ้าเป็นเด็กในเมืองคุณครูก็จะปั้มภาพปูแล้วให้เด็กระบายสี นี่คือข้อจำกัดของการออกแบบการเรียนรู้ในแต่ละแห่ง ผมมาถึงบางอ้อ..ว่าทำไมโรงเรียนนี้มีภาพวาดติดโชว์ให้เราดูเต็มไปหมด นักเรียนชั้นมัธยมช่วยกันวาดภาพป่าโคกจิก เติมความรู้ลงไปให้เห็นว่าสมุนไพรซ่อนตัวอยู่ตรงไหน ออกดอกออกผลฤดูกาลใด วาดได้สวยจริงๆ ขนาดเอามาขึงเป็นฉากหลังคณะหมอลำได้เชียวแหละ กลุ่มนิทานนั่งล้อมวงพ่อใหญ่แม่ใหญ่มาเล่านิทานพื้นบ้านให้เฮกันเป็นระยะๆ กลุ่มศึกษาภูมิศาสตร์ท้องถิ่นเรียนกับครูชุมชนที่เล่าถึงที่ไปที่มาของท่าน้ำลำพังชู กลุ่มวรรณกรรม เรียน ผญา คำสอย ประเพณีพื้นถิ่น ผมหยอดคำสอยโต้กับเด็กกลุ่มนี้
“สอยๆ..นกแตดแต้บินข้วมปายตาล..
ไผได้ผัวหัวล้าน บ่อึดม่องจูบ..นี่ก็สอย”
นอกจากนี้ยังมีปรากฏการเรียนการสอนมากมาย ท่านติดตามอ่านในบล็อกของมหาชีวาลัยและบูรณาการศาสตร์ได้ ทุกท่านที่ไปร่วมงานนี้มีการบ้านต้องถอดบทเรียนมาเสนอท่านอยู่แล้ว หรือถ้ายังไม่จะแจ้งใจก็เข้าไปในบล็อกโรงเรียนบ้านเม็กดำได้ตลอด24ชั่วโมง ถอดเสื้อเปิดใจถามกันไปเล๊ย!
เรียน ท่านเล่าฮู
วันนี้มีคณะนักศึกษาปริญญาโท ทางการศึกษา มาเสวนาด้วย คุยกันสารพัดประเด็นเรื่องการศึกษาของไทย นักศึกษาทั้งหมดเป็นครูประจำการ ฟังธงว่า..การศึกษาจะเด่น หรือจะดับ ขึ้นอยู่กับผู้บริหารสถานศึกษา ถ้าได้คนดีก็โชคดีไป ได้คนไม่เอาไหน ก็จะลงนรกกันทั้งโรงเรียน ปัญหาอื่นๆเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น แล้วเราจะทำยังไงกันต่อละครับ
กราบเรียน
พันธมิตรชาวบล็อกที่เคารพ
เรื่องนี้ยาวและหนัก ท่านผู้สันทัดกรณีแนะว่า
ควรจะแบ่งเค๊กความคิด จะได้อิ่นกันทั่วถ้วน
ขอขอบคุณที่ร่วมลงขันความคิด
ยินดีรับไปทำการบ้านต่อทุกข้อครับ
ตามตอนที่เชื่อมโยงไปที่ เม็กดำเม็กกะโปรเจคนะครับ
เพลงเพราะจังเลยค่ะ ใครหนอช่างรู้ใจท่านครูบาเสียจริง...จริ้ง
ได้ยินครั้งแรก
เด็กป.6ร้องประสานเสียงเมื่อวันที่เขานำเสนองานวิจัยเรื่องไก่ดำญี่ปุ่น ชอบมากๆ
เด็กร้องได้ไพเพราะกว่าต้นฉบับอีก
เสียงใสๆเพี้ยนหน่อยมีเสน่ห์ เกิดจากการหลอมใจกันร้องอย่างมีความสุข
มาคิดต่อ.. อยากจะให้เขาร้องเป็นเพลงประจำกลุ่ม
จะนำมาซ้อมใหญ่วันที่ 14
และเชิญมาร้องจริง
วันที่ 2 ก.พ.ในงานเปิดอาคาร 6 เหลี่ยม
และวันที่ 26 ก.พ.ที่คณะ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร(วปอ.) จะไปเยี่ยมโรงเรียน ขอให้ซ้อมลูกคอไว้ให้ดีด้วยนะหนูนะ
อ paew ครับ
สมมุติว่า รถที่โกโรโกโสที่ผุพังจนไม่คุ้มค่าที่จะซ่อม
เรายังจะไปซ่อมอยู่อีกหรือครับ ผมนะถอดใจกับเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ขอไม่ตอแย อยู่วงนอกเอาใจช่วยพวกเราที่ยังไปเกี่ยวดองตามภาระหน้าที่
อ.ขจิต ครับ
ณ วันนี้ประเทศนี้ยังไม่มีใครกล้าแตะเรื่องนี้ ไม่ใช่ไม่มีใครไม่รู้ รู้ดี รู้ซึ้ง แต่ไม่กล้า ไม่ทำ พวกเราอ่อนแอและเปราะบางเหมือนมะลอสุกคาต้น ปล่อยให้มันเน่าล่นลงมาเอง
การศึกษาไทยหรือผู้บริหารการศึกษาทั้งหลายถ้าซ่อมได้คงสบายพี่เบริ์ดไปนานแล้วค่ะ ก็คงเพราะว่ายังใช้ได้จึงใช้ไปก่อน
เมืองไทยเราก็แปลกเรื่องดีๆ ของฝรั่งไม่เอามาใช้กับลอกเอามาทำแต่ในเรื่องที่ไม่เหมาะกับตัวเอง
รถเก่าที่เขากล้าโละทิ้งตามกรรมตามวาระ พี่ไทยเรากลับไม่ทำ ปล่อยให้มาวิ่งตามท้องถนนทำร้ายผู้ร่วมชะตากรรมอยู่เรื่อย
เหมือนเลี้ยงไข้ระบบผู้บริหารที่ไม่เข้าท่าที่เปรียบได้กับรถเก่า ๆที่เบรกแตก ยางหมดสภาพ น้ำมันเครื่องหมดอายุ ยังกล้าขับให้นักเรียนนั่งไปด้วย เมื่อไรจะเอาไปขายร้านรับซื้อของเก่าหรือเอาไปปลูกผักสาระเหน่ซักที ซ่อมได้แต่ไม่คุ้มใช่มั้ยค่ะ
แต่ผู้บริหารดี ๆ อย่างเพิ่งน้อยใจค่ะ ทำดีต่อไป เพื่อเด็กไทย เพื่อชาติค่ะ
เรียน ท่าน Mitochondria
โจทย์ปลายเปิดเหล่านี้ ชวนให้ฉุกคิดว่า
รัฐฯ/ระบบ คิดและทำเรื่องนี้อย่างไร
สังคม คิดเห็น ยอมรับ หรือจำยอม ในเรื่องนี้อย่างไร
สภาพการณ์ก็อย่างที่รู้ที่เห็นความเป็นไป
รับได้มาก รับน้อย ตามความรู้สึก
พูดอย่างตรงไปตรงมาขณะก็อยู่ในสภาพที่ท่านให้ความเห็นมา เรายืนอยู่ในที่ตรงนั้น ท่ามกลางความไม่แน่ใจ ว่าจะทำอะไรได้ ทำต่อแค่ไหน
ในเมื่อกฎหมายกระจายอำนาจออกมาเพื่อสนับสนุนให้ผู้บริหารที่ดี แต่ถ้าผู้บริหารที่ไม่ดีจะส่งผลเสียหายมหาศาล หลายโรงเรียนวิกฤต เด็กและครูปั่นป่วนเหมือนอยู่ในนรก ผู้บริหารบ้าอำนาจอย่างที่เราไม่นึกว่าจะมีอยู่ในหมู่ของนักการศึกษา
คงย้อนมาที่กฎหมายอีก ผลที่ดีก็มีมาก แต่ผลเสียกฏหมายแตะไปถึงได้น้อย ปัญหามันก็ยิ่งบานปลายจนเกิดแรงสะท้อนออกมาจากข้างไหน เหมือนสมัยหนึ่งในวงการตำรวจ ที่ผู้ใต้บังคับบัญชายิงเจ้านายตัวเองไปหลายศพ
ครูเป็นคนรักสงบ ส่วนมากเพื่อความอยู่รอด ก็จำต้องเข้ากับผู้บริหารเลวให้ได้ หวานอมขมกลืนกันไป
จุดซ่อมองค์กรตรงนี้ ยังไม่ชัดเจน ยังหาอู่ซ่อมไม่เจอ ที่มีอยู่ก็ไม่มีฝีมือ ไม่มีอาไหล่ ซ่อมพอวิ่งได้ ยังอันตรายถ้าเบรกแตก คันส่งหลุด ตายกันเยอะ เราไม่มีความรู้ความสามารถพอที่จะไขอะไรให้มันดีกว่านี้แล้วใช่ไหม
ช่วยกันคิดต่อนะครับ ทุกความคิดมีคุณค่าเสมอ เรายังรอรวบรวมความเห็นจากทุกท่าน ขอบคุณที่กรุณามาร่วมด้วยช่วยคิด ครับ!
ว่าแล้วไหมละ กว่าท่านจะงัดความเห็นความรู้สึกออกมาสมทบ เรารอแทบใจขาด รอนๆ
ประเด็นมันอยู่ที่ คุณสมบัติของคน เกรดไหน กฏหมายระเบียบต่างๆจะมีประสิทธิภาพสูงก็ต่อเมื่อคนนำไปใช้ในสังคมที่มีคุณภาพพอควร ก็เหมือนที่เรากำลังร่างกฏหมายอยู่เดี่ยวนี้ ต่อให้กฏหมายดีเลิศอย่างไร ถ้าคนไม่ดีมันก็บิดตะกรูดเอาข้างถูจนได้
ตรงนี้มันวัดได้ถึงมิติทางสังคม เราทอดทิ้งสังคม ลอยแพสังคม สังคมก็ลอยเพเรา ลอยไปลอยมาจยไม่เหลืออะไรให้ยึดถือยึดเหนี่ยว ตอนนี้กำลังเป็นพระมหาชนกตกน้ำป๋อมแป๋ม ว่ายก็ไม่ว่าย โหวกแหวกหาคนเอื้ออาทร มันน่าไหมละ