ผมได้นำระบบการทำงานใน blog มาผสมผสานกับการทำงานในระบบสถาบันของมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งไม่ค่อยมีคนสนใจเข้ามาใน blog มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรและความสามารถที่มี
เรื่องนี้ ผมขอยกประเด็นของตัวเองเป็นตัวอย่างนะครับ ว่า หนึ่งปีผ่านมา ผมได้เรียนรู้ถึงการใช้ blog เพื่อสนับสนุนงานในตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยในมุมใดบ้าง หลายท่านคงทราบนะครับ ว่า อาจารย์มหาวิทยาลัย มีภารกิจอยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ สอน วิจัย บริการสังคม และทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม อันนี้ทุกสถาบันเป็นเช่นเดียวกันหมดนะครับ แต่ถ้ามีอะไรที่แตกต่างก็แจ้งด้วยนะครับ ผมจึงขอแจงเป็นข้อ ๆ ดังนี้
-
งานสอน ผมใช้ blog ในการสรุปประเด็นการสอน การติดตามงานนักศึกษา การกระตุ้นให้นักศึกษามีกระบวนการทำงานและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และยังใช้ blog เพื่อเป็นการรวบรวมประเด็นทางวิชาการ ทั้งงานสอน งานวิจัย งานบริการสังคม และงานทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นภารกิจด้านการรวบรวมความรู้ และสร้างความรู้เพื่อการสอน หรือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ก็แล้วแต่ และงานที่ผมใช้ในการสอนมากที่สุด ก็คือ การติดตามความก้าวหน้าในกรอบคิดและวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในระดับบัณฑิตวิทยา ซึ่งจะสามารถติดตามผลงานได้เป็นราย นาที ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ และนักศึกษาจะไม่มีข้ออ้างว่า ไม่ว่างที่จะมาพบอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะเขาสามารถส่งงานที่ใดก็ได้ในโลกนี้ และผมก็จะได้รับทันทีเช่นกัน
-
งานวิจัย ผมใช้ blog เป็นจุดแลกเปลี่ยนผลการวิจัย แผนงานวิจัย แนวทางการวิจัย และแนวทางการพัฒนาการวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านต่างๆ ที่มีประโยชน์และดีกว่าเดิม โดยมีผู้แสดงความเห็นในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับผู้ใช้ประโยชน์ ผู้สร้างความรู้ ผู้สอน และนักเรียน ความรู้เหล่านี้จะมีการตรวจสอบและประเมินผลเป็นระยะ ๆ โดยผู้ทรงคุณวุฒิหลายสาขาวิชาการ และหลายสาขาอาชีพ ถ้ามีอะไรผิดพลาดผมก็จะได้รับการสะกิดเตือนอย่างเป็นมิตรมาตลอดระยะเวลา ๑ ปี
-
งานบริการวิชาการแก่สังคม ผมได้นำความรู้ที่ได้เพื่อการสอน และงานวิจัย ในสถาบันและในชุมชน นำมาลงใน blog เพื่อการบริการวิชาการให้กับบุคคลทุกระดับ และมีผู้เข้ามาอ่านงานของผมอย่างน้อยวันละ ๑๐๐ คน ซึ่งถือว่า มีจำนวนมากกว่าที่ผมสอนจริงในมหาวิทยาลัยเสียอีก และบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่สนใจในความรู้จริง ๆ ไม่ได้มาด้วยการถูกบีบบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น
-
งานทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ผมได้นำความรู้และหลักการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับระบบสังคมไทย ที่ได้รับบทเรียนมาจากกระบวนการทำงานในระดับต่างๆ มาเผยแพร่ไว้ใน blog และถ้ามีประเด็นใดที่สนใจของสมาชิกทั่วไป ก็ยังได้พยายามหามาเพิ่มเติมให้ เพื่อให้ทุกท่านได้มีความรู้ ความเข้าใจในหลักศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ การอยู่ร่วมกัน และการพัฒนาสังคมที่ถูกต้อง
จาก ๔ ข้อดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า ผมได้นำระบบการทำงานใน blog มาผสมผสานกับการทำงานในระบบสถาบันของมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งไม่ค่อยมีคนสนใจเข้ามาใน blog มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรและความสามารถที่มี
ทำให้สัดส่วนของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เขียนลงใน blog นี้มีจำนวนน้อยมาก เท่าที่ผมประเมินดูแล้ว ไม่น่าจะเกิน ๒๐๐-๓๐๐ คน เมื่อเปรียบเทียบกับ อาจารย์และบุคลากรในมหาวิทยาลัยเมืองไทยเป็นแสนคน แล้วคนเหล่านี้ไปไหนหมดล่ะครับ
ทำไมลักษณะการทำงานที่เป็นประโยชน์จึงไม่ได้รับการตอบสนองจากอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือว่า ยุ่งอยู่กับการสอน จนขยับไปไหนไม่ได้ หรือว่าไม่มีเวลาจะคิดเรื่องอื่น อีกเลย จากภาระงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน อันนี้ น่าเป็นห่วงครับ ว่า ทาง สคส.กำลังจะพัฒนาตัวเอง เป็นสำนักงานจัดการความรู้แห่งชาติ ถ้าเราไม่สามารถจะทำให้อาจารย์และบุคลากรในมหาวิทยาลัยลุกจากเก้าอี้ได้
อย่าคิดเลยว่า เราจะเอามหาวิทยาลัยออกจากระบบได้ ยังไง
อย่างมากที่สุด ก็คงเป็น เหล้าเก่าในขวดใหม่ นั่นแหล่ะครับ ผมเสนอมาในมุมนี้ เผื่อว่า อาจารย์ในมหาวิทยาลัยบางท่านจะเห็นประโยชน์ในการเข้ามาในบล็อกมากขึ้น และ สคส.ก็จะได้พัฒนาตัวเองได้รวดเร็วขึ้น ขอบคุณมากครับ