ผมขอถอดคิดเริ่มต้นมาจากบล็อก ของคุณจตุพร ว่า การวิจัยในชุมชนเป็นทางออกในการพัฒนาความรู้ของประเทศ อันเนื่องมาจากระบบการพัฒนาและใช้ความรู้อยู่ในสถาบันทางราชการ มักจะเป็นความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้น้อย มีขีดจำกัดที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขทรัพยากรด้านต่างๆ ไม่สามารถปรับใช้ได้โดยทั่วไป
แต่การวิจัยในชุมชน นอกจากจะทำให้เกิดความรู้ที่เหมาะสมต่อการใช้ในพื้นที่แล้ว ก็ยังสามารถเชื่อมโยง สร้างความรู้ต่อยอดได้อีกอย่างนับไม่ถ้วน
ทั้งนี้ เนื่องมาจาก เมื่อดำเนินการกิจกรรมวิจัยในชุมชนนั้น ก็จะทำให้เกิดผลกระทบข้างเคียงอย่างเป็นธรรมชาติ กับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่ต่อเนื่องกัน เมื่อมีผู้สังเกตและทดสอบซ้ำอีกก็จะทำให้เกิดการขยายตัว การพัฒนาการความรู้ในระดับชุมชน ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หรือจะเรียกว่า การพัฒนาคลื่นความรู้ก็ได้ครับ
ลักษณะที่เกิดเช่นนี้ ถ้าเราสามารถกระตุ้นให้เกิดนักจัดการความรู้ในระดับชุมชน โดยกระบวนการสร้างเกลียวความรู้ก็จะสามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อเชื่อมกับการวิจัยในชุมชน ที่เกิดคลื่นความรู้ไปสู่ชุมชนอื่นในกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของกลุ่มและเครือข่าย
เทคนิคและวิธีการในการทำงานนั้น จำเป็นจะต้องให้ชุมชนเป็นฐานคิด ฐานทำงาน ฐานสรุปผล และประเมินผล ซึ่งอาจมีนักวิจัยเข้าร่วมทำงาน หรือให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ เพื่อจะได้ไม่เกิดการบิดเบือนข้อมูลไปตามหลักทางวิชาการมากเกินไป
แต่น่าจะปล่อยให้เกิดผลการขยายตัวของความรู้ในระดับชุมชนอย่างเป็นธรรมชาติ ที่จะทำให้เกิดคลื่นความรู้ได้อย่างต่อเนื่องดังกล่าวแล้ว
ฉะนั้น กระบวนการทำงานร่วมกับชุมชนจึงเป็นวิธีการที่ละเอียดอ่อน ถ้านักวิชาการเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากจนเกินไป จะทำให้เกิดอาการ ตายด้านทางความคิด รอรับฟังคำสั่ง จากนักวิชาการเพียงฝ่ายเดียว แต่ถ้านักวิชาการถอยห่างเกินไป ก็อาจเกิดอาการชะงักงันทางความคิด เมื่อเจอปัญหาบางประการที่ใหญ่เกินกว่าชาวบ้านทั่วไปจะคิดออก
ฉะนั้น การยืนระยะของนักวิชาการกับงานวิจัยในชุมชนนั้น จึงเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและสำคัญอย่างยิ่งยวด มิฉะนั้นจะมีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เกิดความเสียหายทั้งตัวงานวิจัย และระบบการพัฒนาการความรู้ของชุมชน
ในประเด็นนี้ จึงอยากจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ว่าใครมีประสบการณ์และความเห็นอย่างไร ที่จะทำให้การวิจัยในชุมชนเป็นฐานพัฒนาการความรู้ที่แท้จริง ทั้งในระดับชุมชน ระดับพื้นที่ และระดับประเทศ
นอกจากนี้ ขอฝากความระลึกถึงมา แด่ กศน. ที่น่าจะให้ความสำคัญในบทบาทของตนเองต่อการวิจัยในชุมชน จึงจะทำให้บทบาทของ กศน.มีพลังขับเคลื่อน และมีข้อต่อรองกับผู้บริหาร เหนือวิทยาลัยการอาชีพ หรือวิทยาลัยชุมชน
ซึ่ง กศน. น่าจะเล่นบทบาทนี้ได้เป็นอย่างดี อันนี้ผมว่า ตามชื่อนะครับ เพราะคำว่า “การศึกษานอกโรงเรียน” นั้น แท้จริงแล้ว ก็คือการศึกษาเพื่อชีวิต เพราะชีวิตอยู่นอกโรงเรียน
ดังนั้น การวิจัยในชุมชน และการศึกษาเพื่อชีวิต แทบจะเป็นเรื่องเดียวกันแบบแยกกันไม่ออก
ผมขอฝากถึง คน กศน.ช่วยพิจารณาถึงเรื่องนี้ด้วยครับ
อาจารย์ ดร.แสวง ครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าการวิจัยในชุมชนมีประโยชน์และความสำคัญมาก ผมเลี่ยงคำว่าวิจัย ใช้คำนี้กับชาวบ้าน สื่อกันลำบากนิดหนึ่ง ผมเลยใช้ว่าโครงงานอาชีพแทนครับ มีคำว่างานที่พอจะเชื่อมกับสิ่งที่ชาวบ้านทำได้ให้เข้าใจได้ง่ายกว่า โครงงานอาชีพนี้ก็เบบี้รีเสิร์ช น้องวิจัยแหละครับ ทำแล้วเวิร์คดีครับ ครูอาสาฯไปร่วมกันกำหนดโจทย์ ตั้งคำถามในสิ่งที่อยากรู้ ร่วมกันออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้หรือกิจกรรมการวิจัย ทำมา 6 ปี ชาวบ้านร่วมกันพัฒนากลุ่มอาชีพ และเครือข่ายอาชีพได้มาหลายกลุ่มหลายเครือข่ายครับ ครูอาสาฯก็แปลงร่างไปเป็นคุณอำนวย ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ไม่ ใช่คุณอำนาจที่จะสั่งให้เรียนอะไร ในวิธีเรียนรู้ไหนก็ได้เหมือนเมื่อก่อน
ดีใจที่อาจารย์หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นแลกเปลี่ยนครับ
วิจัยชุมชนเป็นเรื่องเหล้าเก่าในขวดเก่า
แต่คนละยี่ห้อ
วิถีไทย คืองานวิจัยชุมชน
ภูมิปัญญาไทย คืองานวิจัยสายพันธุ์ไทย
เพียงแค่คนไทๆๆเจ้าะเข้าไปไม่ถึง
ขอ "ม้าก้านกล้วย" สักตัวดีกว่าครับ