เคล็ด(ไม่)ลับของการมีอายุยืน (5)


       

                    เพื่อให้บทความนี้มีเหตุผลครบถ้วน จึงขอต่อจากตอนที่แล้วว่า ความเมตตามีส่วนทำให้อายุยืนอย่างไร ในที่นี้ขอเรียกรวมกันสั้นๆทั้งความเมตตาและความกรุณาว่า ความเมตตาก็แล้วกัน แต่บอกก่อนว่าความจริงความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน เหตุให้เกิดก็ไม่เหมือนกัน เมตตาคือความไม่โกรธ ความปรารถนาดีต่อคนทั่วไป แต่ความกรุณานี้เกิดจากไปเห็นคนที่เขาลำบาก เห็นคนมีความทุกข์แล้วเกิดความรู้สึกสงสาร ทนอยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ความช่วยเหลือเขา พระพุทธเจ้ามีคุณสมบัติ3อย่างคือพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และกรุณาธิคุณ(ไม่ใช่เมตตาธิคุณ) คือความกรุณานี้มีพลังอำนาจมีแรงผลักดันขับเคลื่อนให้บุคคลทำความดีมากกว่าความเมตตา อาจจะเรียกได้ว่าเมตตานี้เป็นสภาพจิตใจที่ไม่มีโทสะ เป็นจิตใจที่ผ่องใสในตัวของตัวเอง แต่หากจะผลักดันให้ขวนขวายทำอะไรที่มีคุณประโยชน์ต่อคนอื่นแล้วต้องเป็นสภาพจิตที่มีความกรุณา

           มีเรื่องเล่าว่าพระภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในกรุงเทพฯ วันหนึ่งได้รับกิจนิมนต์ไปที่ภาคอีสาน ท่านขึ้นรถแท็กซี่จากวัดจะไปขึ้นรถบัสที่ขนส่งหมอชิต สมัยก่อนในกรุงเทพฯยังไม่เจริญ เส้นทางบางช่วงผ่านทุ่งนา ขณะนั่งไปนั้นปรากฏว่ามีปูนาตัวหนึ่งยืนชูก้ามอยู่บนถนน เห็นดังนั้นด้วยความสงสารว่าจะถูกรถเหยียบ ท่านจึงบอกให้คนขับรถแท็กซี่จอดข้างทาง แล้วท่านก็ลงไปจับปูตัวนั้นลงไปในนา แต่เจ้าปูนาก้ามโตก็ไม่ยอมให้ท่านจับง่ายๆ มันหลบซ้ายหลบขวาและจะหนีบมือของท่านตลอดเวลา ทำให้ต้องเสียเวลาอยู่นานกว่าจะจับได้ ทำเอาท่านเหงื่อแตกทีเดียว เสร็จแล้วท่านก็รีบขึ้นรถสั่งให้แท็กซี่ไปให้เร็วที่สุดเพราะกลัวจะไม่ทันรถทัวร์เที่ยวที่จองเอาไว้ เมื่อมาถึงสถานียื่นตั๋วให้พนักงาน เขาก็บอกว่ารถเที่ยวนั้นเพิ่งออกไปได้ไม่นานนี้เอง ท่านรู้สึกผิดหวังแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คิดในใจว่างานนี้คงไปไม่ทันตามนัดแน่แต่อย่างไรก็ต้องไปเพราะเป็นกิจสำคัญ ท่านได้จองที่นั่งในเที่ยวถัดไป ซึ่งเที่ยวนี้เส้นทางต้องอ้อมกว่าเดิมแต่ก็ต้องไป พอรถวิ่งมาถึงโคราชก็พบเหตุระทึกขวัญ คือมีรถทัวร์จากกรุงเทพฯผู้โดยสารเต็มคันเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำอยู่ มีผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน ต่อมาก็ได้ทราบว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุเป็นรถเที่ยวที่ท่านจองตั๋วไว้นั่นเอง ท่านรู้สึกสลดกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก และนึกว่าที่ท่านรอดมาได้ครั้งนี้เพราะเจ้าปูนาก้ามโตตัวนั้นแท้ๆที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลากว่าจะจับตัวลงน้ำได้ แต่ใครจะคิดบ้างว่าถ้าความเมตตาของท่านไม่ได้มีอยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้เพาะบ่มให้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ท่านจะสนใจลงไปช่วยชีวิตปูนาตัวเล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้นได้ ความเมตตาของท่านจึงเป็นเหตุให้ท่านรอดพ้นอุบัติเหตุในครั้งนี้ได้

                  อีกเรื่องหนึ่งคือ มีผู้ชายคนหนึ่งครอบครัวมีฐานะดี เขาเป็นคนดีตามประสาโลกคือ ถ้าอยู่แล้วไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ถือว่าเป็นคนดีแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยได้สนใจเรื่องบุญเรื่องทานหรือคิดจะช่วยเหลือคนอื่นแต่ประการใด แต่วันหนึ่งภรรยาของเขาไปเจอครูบาอาจารย์ที่มีสมาธิสูง เธอพาสามีไปด้วย อาจารย์ท่านนั้นได้บอกแก่สามีเธอว่า สามีเธอจะตายแบบผีไม่ญาติ เมื่อกลับมาบ้านเขาก็ไม่รู้สึกอะไร แต่คนที่อยู่ไม่เป็นสุขคือตัวภรรยา เธออ้อนวอนให้สามีทำบุญต่างๆนาๆ สามีก็ทำไปอย่างนั้นเองเพราะความรักและเกรงใจ แต่ในใจเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตายแบบผีไม่มีญาติ เพราะเขาทั้งมีฐานะดี มีคนรู้จักมากมาย ภรรยาก็รักเขามาก แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปๆ คำนายของอาจารย์มีเค้าว่าจะจริงตามลำดับๆ ทำให้ภรรยาไม่สบายใจมาก เขาเองมาช่วงหลังนี้ก็เริ่มเห็นเค้าลางจึงเริ่มทำความดีต่างๆ เช่นช่วยเหลือครอบครัวคนยากจน ช่วยเหลือเพื่อนเก่า และอีกหลายอย่าง ในช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาไปเดินที่พาหุรัด ทันใดนั้นก็มีเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศ ทุกคนวิ่งกันสับสนอลหม่าน เขาเองก็วิ่งเข้าหาที่กำบัง บังเอิญเหลือบไปเห็นเด็กหญิงตัวน้อยยืนร้องไห้จ้าอยู่คนเดียวไม่มีใครสนใจ เขาวิ่งไปที่หนูน้อยคว้าตัวมาอุ้มขณะนั้นเขาเกิดสะดุดขาล้มลงแล้วก็คว้าตัวเด็กได้ทัน แล้วเสียงระเบิดก็ดังสนั่น เขากับหนูน้อยปลอดภัยแม่หนูน้อยหยุดร้องไห้มองเขานัยตาใสแจ๋ว หมวกของเขาโดนสะเก็ดระเบิดปาดไปซีกหนึ่ง หากเขาไม่ล้มลงสะเก็ดระเบิดจะโดนศีรษะเขาอย่างจัง หันไปดูรอบๆมีคนบาดเจ็บและคนตายจำนวนมาก เขาพาเด็กฝ่าผู้คนเดินมาที่วัดสุทัศน์ แล้วก็ได้เจอแม่ของเด็กที่นั่น แม่รับลูกกอดมาทั้งน้ำตา ขณะนั้นเองเขาก็เดินผละออกมา ไม่สนใจที่จะรับคำขอบคุณจากแม่เด็กน้อยนั้นเลย เขามาคิดว่าที่รอดตายมานี้เป็นเพราะเขาช่วยเด็กหรือเด็กช่วยเขากันแน่และถ้าตายแบบนี้ก็คงแบบผีไม่มีญาติแน่นอน  ก็คงจะไม่พ้นความเมตตานั่นเองที่ช่วยต่ออายุให้เขา หากไม่ได้อบรม เพาะบ่มความเมตตาไว้ก่อนนี้ มีหรือที่เขาจะคิดช่วยเหลือใครในยามที่ทุกคนต้องเอาชีวิตรอดเช่นนี้    

              เหตุที่ทำให้คนตายนั้นมีสี่อย่างคือ 1)ตายเพราะสิ้นอายุ 2)ตายเพราะสิ้นกรรม 3)ตายเพราะทั้งสิ้นอายุและสิ้นกรรม 4)ตายเพราะมีกรรมตัดรอน ดังนั้นคนที่ตายแบบอุบัติเหตุนี้ก็เข้าข่ายประเภทที่4 คือมีกรรมมาตัดรอน เป็นกรรมไม่ดีมาตัดรอน หลักการแก้กรรมในพระพุทธศาสนาไม่ได้ทำได้ด้วยการสารภาพบาป หรือการไปอาบน้ำ หรือการไปทำพิธีต่างๆนาๆ แต่สามารถทำได้ด้วยการทำความดี สร้างกรรมดี อย่างเดียว ความจริงกรรมนั้นแก้ไม่ได้ ถึงเวลาต้องรับผลแห่งกรรม แต่กรรมดีจะส่งผลให้วิบากกรรมชั่วนั้นเบาลงๆ เปรียบเสมือนเกลือละลายน้ำ ถ้าเราทำเติมน้ำมากๆ น้ำนั้นแม้จะมีเกลืออยู่เท่าเดิมแต่ความเค็มก็ลดลงได้ฉันใด ความดีหากทำมากเข้าๆ แม้ยามจะต้องได้รับผลกรรมชั่ว กรรมชั่วนั้นก็เบาบางลง ไม่หนักหนาสาหัสเผ็ดร้อนมากนัก หรือทันทีที่รับกรรมชั่วก็มีคนดีมาช่วยดังนี้เป็นต้น  ดังนั้นทางที่ดีคือหยุดทำกรรมชั่วทั้งหลาย มีกุศลกรรมบท10 เป็นหลักในการดำเนินชีวิต และประกอบกรรมดีไว้เสมอๆ จะดีกว่าแน่นอน       

หมายเลขบันทึก: 693138เขียนเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2021 14:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2021 14:43 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สาธุ สาธุ สาธุ ครับ กับบทความที่น้อมนำมาซึ่งกรรมดี ที่ท่านนำมาเผยแพร่

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท