ต้นเดือนตุลาคม ผมเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัย ไปร่วมประชุมเตรียมการงาน mini-UKM#20 ที่กำลังจะจัดขึ้นที่ ม.นครพนม ในวันที่ ๒๓-๒๕ มกราคม ๒๕๖๒ นี้ ผมสรุปสิ่งที่เรากำหนดแนวทางร่วมกันไว้ที่นี่
วันนี้ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ทีมขับเคลื่อน KM มหาวิทยาลัย นัดผมและ อ.ชัยสิทธิ์ ไปทำวง KM เล็กๆ โดยมีหัวปลา (BAR) สั้นๆ ให้เข้าใจถึงสถานการณ์และความต้องการที่งาน KM จะช่วยได้ และคุยกันว่ามหาวิทยาลัยควรจะ (หรือน่าจะ) ขับเคลื่อน KM กันอย่างไร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดทั้ง "ภายใน" และสามารถเชื่อมโยงเครือข่าย "ภายนอก" (mini-UKM) เพื่อให้เกิดพลังเสริมหนุนกันได้
ผมมีโอกาสนำเสนอความเห็น แต่รู้สึกว่ายังนำเสนอไม่ได้ดีนักกับสิ่งที่ตนเองอยากจะเสนอ จึงขอส่งสื่อสาร แนวคิดในการเอา KM มาใช้ช่วยงานของมหาวิทยาลัยในบันทึกนี้
KM inside
ขอเสนอให้เน้น "KM inside" เท่านั้น (หากอยากรู้ละเอียด คลิกอ่านที่นี่ ... โดยเฉพาะน้องอร ต้องอ่านให้จบ)
เหตุที่ต้องใช้ KM-inside เท่านั้น เพราะจากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา ๑๒ ปี KM-inside เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จและทำได้จริงในระบบราชการไทย ระบบและกลไกการทำราชการที่ใช้การประชุม->สั่งการ->ติดตาม->ประเมิน (PDCA) ที่ทำอยู่นั้น เป็นระบบใหญ่ที่มีข้อดีอยู่แล้ว ข้อเสียของระบบราชการไทย ไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมดด้วย KM เนื่องจาก
ข้อจำกัดของ KM-inside
ตามประสบการณ์ของผม ข้อจำกัดหรือน่าจะเรียกว่าข้อตกลง (Postulations) ของ KM-inside มีดังนี้
๑) KM-inside ใช้ไม่ได้เมื่อคนทะเลาะกัน ... เหตุส่วนใหญ่ที่ทำ KM ไม่สำเร็จในหน่วยงาน คือ คนทะเลาะกัน ไม่จริงใจต่อกัน ไม่ไว้ใจกัน อิจฉาริษยากัน
๒) KM-inside ใช้ไม่ได้ในองค์กรที่ผู้บริหารบ้าอำนาจ ... ถ้าผู้บริหารหรือหัวหน้างานใด ยึดมั่นในการทำงานแบบ "ประชุม->สั่งการ->ติดตาม->ประเมิน" ไม่ต้องเสียเวลาไปทำ KM
๓) KM-inside ไม่เหมาะสมกับคนทุกคน ... คนประเภทเห็นแก่ตัว ยึดมั่นแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ซื่อสัตย์ ปองร้าย ...ฯลฯ หรือก็คือ คนพาล ไม่สามารถใช้ KM-inside ได้
๔) KM-inside ไม่เหมาะสมกับทุกงาน ... งานใดที่ไปได้ดีในระบบราชการอยู่แล้ว แบบ "งานก็ได้ผล คนก็อยู่ได้" ไม่จำเป็นต้องใช้ KM เพราะหากใช้อาจจะไปเจอ ข้อ ๑) ข้อ ๒) ข้อ ๓) งานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็น งานประจำ (Routine) แนะนำให้ทำ R2R (Routine to Research) คือใช้ความก้าวหน้าของงานเป็นศูนย์กลาง .... งานที่เหมาะสมที่จะใช้ KM คืองานเชิงรุกที่มีเป้าหมายเชิงคุณค่า (Value) ทำ่แล้วเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กร และทำให้คนทำรู้สึกมีคุณค่า เป็นงานสำคัญที่ต้องร่วมมือร่วมใจจึงจะสำเร็จ
๕) KM-inside จะเน้นการ "ให้" ไม่ใช่การ "รับ" ... ดังนั้น หัวเรื่องหรือประเด็นที่กำหนดมาทำ KM-inside ไม่ควรเป็นเรื่องสนองโยชน์ของตนเองหรือคนกลุ่มที่มาทำ แแต่เป็นเรื่องที่ต้องมาเสียสละร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การได้ประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย
ข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางการทำ KM-inside
ผมขอเสนอบันได ๕ ขั้น ในการนำ KM-inside มาพัฒนางานของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ดังนี้
ขั้นที่ (๑) ค้นหาฅน KM-inside
ขั้นที่ (๒) ค้นหาฅนต้นแบบ (BP, Best Practice หรือ GP, Good Practice)
ขั้นที่ (๓) สร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Show & Share & Shift, 3S)
ขั้นที่ (๔) ใช้ความรู้
ขั้นที่ (๕) ประเมินผลลัพธ์และสะท้อนการเรียนรู้ (Evaluatio & Refleciton & Feedback)
หากเห็นด้วย... ก็มาลุยกันเลยครับ
..................................
ขอให้กำลังใจกับทีม KM ของมหาวิทยาลัยทุกท่านครับ
กราบขอขมาผู้ใหญ่ผู้รู้ทุกท่าน ที่การทำงานผ่านมาอาจจะล่วงเกินท่านไป ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งที่เผลอไปโดยไร้เจตนา และทั้งทำไปโดยไร้ปัญญาไร้สัมมาสติ ทั้งทางด้านกาย วาจา หรือทางใจ ขอความไม่มีภัยจงมีต่อผมเถิด... ขอเริ่มต้นและร่วมทางกับ "ฅนKM" ด้วยสมัครใจอย่างยิ่งครับ
ไม่มีความเห็น