ความดันโลหิตสูงและวิธีการรักษา
ดร. ถวิล อรัญเวศ
รอง ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต 4
กล่าวกันว่า ทุกๆคนต้องมีความดันโลหิต เพราะความดันโลหิต จะเป็นแรงผลักดัน ให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกายของเรา แต่สูงเกินไปก็ไม่ดี ต่ำเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน
ดังนั้น ทุกคนจึงควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับความดันโลหิต และพยายามรักษาให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติให้จงได้ เพราะความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดหลอดแข็งและตีบ เมื่อหัวใจบีบตัวหัวใจจะบีบเลือดไปยังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดความดันโลหิตซึ่งเกิดจากการบีบตัวของหัวใจ และแรงต้านทานของหลอดเลือด
หัวใจคนเราเต้นประมาณ 60-80 ครั้งต่อนาที หรือ 60-100 ครั้ง บางครั้งก็เรียกว่า
การเต้นของชีพจร ความดันก็จะเพิ่มขณะที่หัวใจบีบตัว และลดลงขณะที่หัวใจคลายตัว
ความดันโลหิตของคนเราไม่เท่ากันตลอดเวลาขึ้นกับท่า ความเครียด การออกกำลังกาย การนอนหลับ ค่าปกติความดันโลหิตของคนเราคือ 120/80 มิลิเมตรปรอท แต่ไม่ควรเกิน 140/90 หากสูงกว่านี้แสดงว่าคุณเป็นโรคความดันโลหิตสูง
ดังนั้นการป้องกันความดันโลหิตสูง สามารถป้องกันอัตราการตายจากโรคหัวใจ และโรคอัมพาต โรคความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบ ที่คุกคามชีวิตของทุกท่านเนื่องจากไม่มีอาการเตือนภัยมาก่อน ดังนั้น การจะทราบว่าเป็นความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องวัดความดันโลหิต นิยามเรื่องความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงหมายถึงระดับความดันตัวบน systolic blood pressure >140 mmHg และความดันตัวล่าง diastolic blood pressure>90 mmHg
Isolated systolic hypertension (ISH) หมายถึง ระดับความดันตัวบน systolic blood pressure >140 mmHg และความดันตัวล่าง diastolic blood pressure<90 mmHg
Isolated office hypertension หรือ White coat hypertension หมายถึงระดับความดันโลหิตวัดที่คลินิค หรือโรงพยาบาลมากกว่า 140/90 mmHg แต่เมื่อวัดที่บ้านความดันโลหิตจะต่ำกว่า 135/85 mmHg
Masked hypertension (MH) หมายถึงความดันโลหิตเมื่อวันที่คลินิกหรือโรงพยาบาลน้อยกว่า 135/85 mmHg แต่เมื่อวัดเองที่บ้านมากกว่า 140/90 mmHg
เมื่อไรจึงเรียกว่าความดันโลหิตสูง
เนื่องจากความดันโลหิตมีปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องมาก การจะบอกใครเป็นความดันโลหิตสูง จะต้องมีการวัดความดันหลายครั้ง และต้องพิจารณาว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ คนปรกติจะมีความดันโลหิตไม่เกิน 120/80 มิลิเมตร ความดันโลหิตที่สูงกว่า 140/90 มิลิเมตรปรอทจะเรียกว่าความดันโลหิตสูง นอกจากนั้นยังมีภาวะอื่นๆ
สาเหตุของความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงมี 2 ชนิดคือ
โรคความดันโลหิตที่ไม่ทราบสาเหตุ Primary hypertension หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า essential hypertension เป็นความดันโลหิตสูงที่พบมากที่สุด กลุ่มนี้ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดมักจะมีสาเหตุหลายองค์ประกอบรวมกัน พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 95 เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มนี้ แต่มักจะพบว่าผู้ป่วยกลุ่มความดันโลหิตสูงนี้มีความสัมพันธ์กับปัจจัยดังต่อไปนี้
การรับประทานอาหารเค็มซึ่งจากการศึกษาพบว่าการรับประทาน อาหารเค็ม จะมีส่วนทำให้เกิดความดันโลหิตสูง แนะนำว่าคนปรกติไม่ควรรับประทานเกลือเกิน 3.8 กรัมต่อวันกรรมพันธุ์ เชื่อว่าพันธุกรรมจะมีผลต่อระบบฮอร์โมนทำให้มีการหลั่งสารเคมีมากไป Renin angiotensin มากทำให้ความดันโลหิตสูงความผิดปรกติของหลอดเลือดเนื่องมาจากโรคอ้วน อายุมาก เชื้อชาติ และการขาดการออกกำลังกาย
โรคความดันโลหิตที่ทราบสาเหตุ Secondary hypertension
เป็นความดันโลหิตสูงที่ทราบสาเหตุ พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงสาเหตุที่พบได้บ่อยคือโรคไต ผู้ป่วยที่มีหลอดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบทั้งสองข้างมักจะมีความดันโลหิตสูง เนื้องอกที่ต่อมหมวกไตพบได้สองชนิดคือชนิดที่สร้างฮอร์โมน hormone aldosterone ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีความดันโลหิตสูงร่วมกับเกลือแร่โปแตสเซียมในเลือดต่ำ อีกชนิดหนึ่งได้แก่เนื้องอกที่สร้างฮอร์โมน catecholamines เรียกว่าโรค Pheochromocytoma ผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตสูงร่วมกับใจสั่นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ Coarctation of the aorta พบได้น้อยเกิดจากหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบบางส่วนทำให้เกิดความดันโลหิตสูงยาคุมกำเนิดยาโคเคน ยาบ้า
โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นโรคที่คนปัจจุบันเป็นกันมาก และคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ตัวว่าเป็น โรคความดันโลหิตสูง แต่หากปล่อยให้เป็น โรคความดันโลหิตสูง ไปนาน ๆ อาจนำมาซึ่งโรคร้ายอื่น ๆ ตามมา
อย่างไรจึงเรียกว่า โรคความดันโลหิตสูง
ความรุนแรงของ โรคความดันโลหิตสูง แบ่งเป็น 3 ระยะคือ
ระดับที่ 1 ความดันโลหิตสูงระยะเริ่มแรก ค่าความดันโลหิต ระหว่าง 140-159/90-99 มม.ปรอท
ระดับที่ 2 ความดันโลหิตสูงระยะปานกลาง ค่าความดันโลหิต ระหว่าง
160-179/100-109 มม.ปรอท
ระดับที่ 3 ความดันโลหิตสูงระยะรุนแรง ค่าความดันโลหิต มากกว่า 180/110
มม.ปรอท
ทั้งนี้ การวัดความดันโลหิตควรจะวัดขณะนอนพัก และควรวัดซ้ำ 2-3 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นความดันโลหิตสูงจริง ๆ
อาการของผู้เป็น โรคความดันโลหิตสูง
ปกติแล้วผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง มักไม่ปรากฏอาการใด ๆ ให้ทราบ อาจพบอาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ เหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หรือนอนไม่หลับ สูญเสียความจำ สับสน มึนงง ซึ่งล้วนเป็นอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นจึงทำให้คนไม่เอะใจ จึงไม่ได้รับการรักษา และควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับเหมาะสม ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของ โรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 2 กรณีคือ
ผนังหัวใจหนาตัว เกิดหัวใจโต และหัวใจวายตามมา หลอดเลือดในสมองแตก หรือตีบตัน
ทั้งนี้ มีข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า ผู้ป่วน โรคความดันโลหิตสูง หากไม่ได้การรักษา อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย 60-75%, เสียชีวิตจากเส้นเลือดในสมองอุดตัน หรือแตกราว 20-30% และเสียชีวิตจากไตวายเรื้อรัง 5-10%
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง
1. พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม พบว่า คนประมาณ 30-40% ที่บิดามารดาเป็นโรคความดันโลหิตสูง จะมีแนวโน้มเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้มากกว่า คนที่ไม่มีประวัติในครอบครัว
2. ความเครียด หากคนมีความเครียดสูง อาจทำให้ความดันโลหิตสูงไปด้วย
3. อายุ โดยปกติเมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่สำหรับโรคความดันโลหิตสูง มักพบในผู้ที่อายุ 40-50 ปีขึ้นไป แต่ในอายุต่ำกว่านี้ก็สามารถพบได้เช่นกัน
4. เพศ มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวัยหมดประจำเดือน
5. รูปร่าง มักพบในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือคนอ้วนมากกว่าคนผอม
6. พฤติกรรมการกิน ผู้ที่ชอบทานเค็ม ทานเกลือ มักมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติ
7. สภาพภูมิศาสตร์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง มักมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ที่อยู่อาศัยในชนบท เพราะมีความเครียด และสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายรบกวนจิตใจอารมณ์มากกว่า
การรักษาโรคความดันโลหิตสูง
หมอบอกว่า สามารถทำได้ 2 ทางคือ การใช้ยา และไม่ใช้ยา โดยผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็นความดันโลหิตสูง แพทย์จะสามารถรักษา โรคความดันโลหิตสูงได้ โดยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วย แพทย์จะต้องให้ยา และพยายามควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติให้ได้ ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรไปตรวจวัดความดันโลหิตสูงอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด เพราะเกลือจะทำให้ความตึงตัวของผนังหลอดโลหิตแดงเพิ่มขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มไขมันจากสัตว์ เช่น กะทิ เนื้อสัตว์ รวมทั้งอาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาลขัดขาวทุกชนิด เพราะจะทำให้น้ำหนักตัว และระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น งดสูบบุหรี่ และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจดื่มได้ในปริมาณพอเหมาะ คือ วิสกี้ 2 ออนซ์ หรือ ไวน์ 8 ออนซ์ พยายามควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนมากจนเกินไป เพราะความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ ออกกำลังกายให้พอควรและสม่ำเสมอ ด้วยการเดินเร็ว ๆ วิ่งเหยาะ ๆ เบาๆ หรือปั่นจักรยาน ประมาณ 15-20 นาที อย่างน้อย 3-6 ครั้งต่อสัปดาห์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบาน ไม่เครียด ทำให้ให้ร่าเริง แจ่มใส
สรุป
คนเราแม้จะรวยล้นฟ้าสักปานใด แต่ถ้าสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตใจไม่ดีแล้วไซร้ทรัพย์สินทั้งหลายทั้งปวง ประดุจเศษแก้ว เศษถ่านแบตเตอรี่หมดอายุ หรือหญ้าที่ไม่มีประโยชน์ คือเป็นเสมือนไร้ค่า ความดันโลหิตสูง เป็นบ่อเกิดสารพัดโรค ทำอย่างไร เราจะไม่เป็น ให้รู้วิธีป้องกันให้ได้
เรายังสามารถลดระดับความดันโลหิตได้ ทั้งการรู้จักรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหาร ควรลดปริมาณเกลือ ด้วยการหันมาทานอาหารที่มีธาตุโพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งมีมากในผักและผลไม้สด เช่นกล้วย มันฝรั่ง และผักใบเขียวต่าง ๆ ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น ขึ้นฉ่าย กระเจี๊ยบแดง และบัวบก ด้านอารมณ์ ควรมีกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดด้วยการฟังเพลง ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นต่าง ผ่อนคลายอารมณ์และความเครียด นั่งสมาธิตามความเหมาะสม 15-30 นาที ข้อสำคัญคือรักษาสภาพอารมณ์ทางจิตใจให้ปกติ ไม่โลภ โกรธ อาฆาต พยาบาท เกรี้ยวกราด มองโลกในแง่ดี รู้จักปล่อยวาง เพราะพระท่านว่า ทุกข์อยู่ที่ถือ สุขอยู่ที่ปล่อยวาง
ทำอะไรอย่าให้เขาว่า เมืองพอไม่มี มีแต่เมืองพล การทำมาหากิน ก็ไม่ควรเครียดเกินไป ทำงานให้สนุก และมีความสุขกับงานที่ทำ สิ่งเหล่านี้แหละจะช่วยบรรเทาปัดเป่าหรือป้องกันความดันโลหิตสูงได้อีกประการหนึ่งนะครับลองทำดู ให้รู้จักฝึกความฉลาดทางอารมณ์และความเฉียบคมทางปัญญา
แหล่งข้อมูล
เว็บไซต์
http://health.kapook.com/view2514.html
http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/heart_disease/Hypertension/symtom.html#.VuGtTjU5N_8
ไม่มีความเห็น