ออกจากบ้านคุณพ่อเขียน ไกด์กิตติมศักดิ์ของเราก็พาคณะเดินทางต่อ
ไป แต่ก่อนที่จะไปกินมื้อเที่ยง ลุงวอพาพวกเราแวะไปชมวัดที่เก่าแก่
ที่สุดของพัทลุง คือ ... วัดเขียน...เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่ต้นสมัยกรุงศรีฯ
เป็นวัดที่มีบริเวณเนื้อที่กว้างขวาง ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย อย่างต้น
มะม่วงต้นนี้ คงมีอายุยาวนาน
ขนาดของลำต้น 3 คนโอบ จริง ๆ ....คุณมะเดื่อเห็นดอกไม้สีสันสะดุด
ตาสะพรั่งตัดกับกิ่งใบสีเขียว ๆ เด่นชัด
ดอกโศก...นั่นเอง เป็นโศกอีกชนิดหนึ่งซึ่งไม่เหมือนที่เคยเห็นทั่ว ๆ ไป
อากาศร้อนมาก พวกเราจึงหลบเข้าร่มมะขาม น้องนอง เจอฝักมะขามจึง
แกะเปลือกเอาใส่ปาก แล้วทำหน้าตาว่า มะขาม " หวาน " มาก ๆ
คุณมะเดื่อลองชิมดูบ้าง ... แค่แตะ ๆ ลิ้น ก็ต้องรีบขว้างไปให้พ้นตัวให้
มากที่สุด......โค..ตะ...ระ....เปรี้ยวววววว....!
ลุงวอนำพวกเราไปชมพระพุทธรูปที่รายรอบอยู่ในวิหารคต
องค์นี้ อยู่ต้นแถว แต่ไม่ใช่พระพุทธรูป หากแต่เป็นรูปปั้นแทนองค์
พระชายาของเจ้าเมืองที่สร้างวัดแห่งนี้ สังเกตุจากเครื่องทรงที่
ไม่ใช่พระแต่คล้ายกษัตริย์.....ครูหยินสังเกตเห็นว่า พระพุทธรูปที่นี่ มี
ปากแดงทุกองค์....จริงด้วยนะ
ลุงวอบอกว่า ตรงนี้้เป็นพิพิธภัณฑ์แต่ไม่มีเวลาแวะเข้าไปชม จึงได้แต่
ภาพคันไถโบราณมาเป็นหลักฐาน
ออกจากวัด ลุงวอพาไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารบริเวณหาดลำปำซึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบสงขลา ที่ดูยังไง ๆ ก็เหมือนทะเลน้ำเค็ม ไม่ใช่ทะเลสาบน้ำจืด
บริเวณชายหาด มีซุ้มอาหารเรียงรายตลอดแนว คล้าย ๆ กับที่
อ่างซับเหล็ก สระบุรี คุณมะเดื่อสังเกตดูว่า แต่ละซุ้มค่อนข้างว่า ไม่
ค่อยมีคนมาใช้บริการ
เจ้าของร้านนำเมนูอาหารมาให้สั่ง เมื่อสั่งอาหารแล้ว พวกเราก็นั่งรอ...
รอ....รอ...นานมาก .......
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงอาหารจึงมา ... ได้ทราบภายหลังว่า ร้านนี้ตั้งอยู่
คนละฝั่งถนนกับซุ้มอาหาร และมีคนที่ร้านอยู่เพียง 2 คน (น่าจะเป็น
แม่ครัว กับคนบริการเสริฟอาหาร) อิ่มหนำสำราญแล้วก็ถึงเวลาคิดค่า
อาหาร ... ก็นานนนนนมากอีก กว่าจะมาบอกค่าอาหาร...สรุปแล้วทั้ง
เวลารออาหาร และ รอคิดเงิน ใช้เวลามากกว่าเวลาที่กินอาหาร
คุณมะเดื่อจึงตั้งชื่อร้านนี้ให้ว่า " ร้านอาหารใจเย็น ๆ " คือ ถ้าใจร้อนคง
ต้องเปลี่ยนร้านแน่ ๆ ... คุณมะเดื่อมองไปรอบ ๆ ซุ้มอาหารที่เป็นของ
ร้านนี้ว่างซะส่วนมาก จึงพูดว่า " นี่ขนาดวันนี้มีแขกน้อยนะ..ยังช้า ถ้า
หากมีแขกเยอะ ๆ คงต้องสั่งล่วงหน้า 1 วัน " ลุงวอบอกว่า...นับดูแล้ว
วันนี้ มีแขก 1 คน....คุณมะเดื่องง ครูหยินจึงเฉลยว่า....ก็ลุงวอญ่าไง...จึงถึงบางอ้อ..! (ตามไม่ทันจริง ๆ เลยนะไกด์เรานี่ )
ออกจากร้านอาหาร คุณมะเดื่อก็จะเดินทางกลับ เนื่องจากบ่ายสองโมง
กว่าแล้่ว แต่ทางผ่าน มีวังเจ้าเมืองเก่าให้ได้แวะชมอีกเป็นรายการส่ง
ท้าย ลุงวอจึงพาแวะชมโดยใช้เวลาไม่มากนัก
วังเก่า เป็นเรือนไทยไม้สักสวยงามมาก ที่จริงที่นี่ต้องเสียค่าเข้าชม แต่
ลุงวอบอกว่า วันนี้เป็นวันครอบครัว (วันอาทิตย์) พวกเรามาเป็น
ครอบครัว จึงยกเว้นค่าเข้าชม
เรือไม้ตะเคียน ที่ขุดด้วยไม้ตะเคียนทั้งต้นในสภาพสมบูรณ์ ที่ใต้ถุน
วังเก่า กลางลำเรือมีเหรียญเสื่ยงทายมากมาย
บนตัวเรือนวังเก่า
ห้องนอน
ภาพเก่า เจ้าของภาพไม่ทราบชื่อ ไม่มีบอกไว้ แต่เป็นหญิงที่่
งดงามมาก ๆ
ภาพนี้น่าจะเป็นเจ้าเมืององค์แรกของพัทลุง
ด้านหลังวังเก่า มีวังใหม่ สร้างด้วยวัสดุแบบยุคใหม่ สวยไปอีกแบบ
หนึ่ง แบบยุคใหม่
ด้านหลังมีลำคลอง และมีเรือที่เคยรับเสด็จในหลวงและสมเด็จ
พระนางเจ้า ฯ จอดไว้ให้ชม
ริมคลองมีแต่แพผักกระฉูดแน่นขนัดไปหมด
สามพี่น้องพลาดไม่ได้ที่จะขอเก็บภาพหัวเรือไว้เป็นที่ระลึก
ภาพนี้...ไม่ขอบรรยายนะ...ใครทราบบ้างว่าน้องนอง...กำลังทำอะไร
ข้าง ๆ วังใหม่ มีทานตะวันปลูกไว้ริมทางเดิน กำลังออกดอกสวยงาม
ภาพแห่งความสุขส่งท้ายในทริปนี้ของพวกเรา...ดอกทานตะวันงดงาม
เหมือนสัญญาใจของพวกเราที่มีต่อกันว่า ..จะเบ่งบานงดงาม และ
รุ่งเรื่อง สดใส เหมือนดอกทานตะวันนี้ ตลอดไป...ภาพต่อไป เราจะ
ถ่ายภาพร่วมกันที่ ...เมืองสามอ่าว...จ้ะ
ครอบครัวของครูหยิน และลุงวอ นำทางมาส่งคุณมะเดื่อกลับบ้านที่
สี่แยกเอเซีย...เราจับมือสัญญากันว่า...จะพบกันที่บ้านคุณมะเดื่อในวัน
ที่ 4 - 6 เมษายน 57 แน่นอนจ้ะ.....
...ตามมาชมวังเจ้าเมืองพัทลุง...รูปแบบเรือนไทยทั้งภาคกลาง ภาคใต้ ผสมกลมกลืนกันดูสวยงามมากนะคะ
ดีใจที่ได้ต้อนรับกัลยาณมิตร บล็อกเกอร์ชาวโกทูโนว์
ทัวร์ครอบครัวที่ได้สาระและคุณค่า ได้ดูวิถี ซาไก
ยังเสียดายอยู่นิดหนึ่งที่ได้พาชม วิถีคนหาปลาในทะเลสาบ
เมษานี้ทัวร์ เมืองสามอ่าว
มีเวลาจะได้ไปดูช้าง ดูป่า เมืองกุย
หวัดดีจ้ะท่าน ดร.พจนา เป็นวังเก่าที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมใหม่จ้ะ วังเดิมทรุดโทรมมากแล้ว ขอบคุณที่มาให้กำลังใจจ้ะ
หวัดดีจ้ะลุงวอ มื้อเย็นที่เขื่อนยางชุมในวันที่ 4 นั้น ก็อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติป่ากุยบุรีจ้ะ