ตอนเป็นเด็กผมไม่คิดอยากที่จะเป็นครูเลย ..
เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะเนื่องจากการที่ผมได้เรียนโรงเรียนรอบนอก ทำให้ผมได้เห็นถึงความเหนื่อยของคุณครู
ที่ต้องคอยตามเด็ก ๆ ที่เกเรไม่เข้าเรียนตามบ้าน ตามที่ต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่เด็กนั้นก็ไม่ใช่ลูกหลานของเรา
ในความที่ผมเป็นเด็ก ผมก็คิดได้เพียงแค่นี้ ,, ทำให้ผมไม่อยากที่จะเป็นครูมากหนัก
เมื่อโตมา … ผมก็ต้องตัดสินใจที่จะเรียนต่อ ,,,
ทางบ้านบอกกับผมเสมอว่า อยากเรียนอะไรเรียนได้ แต่เสาร์อาทิตย์ต้องเรียนครูเสริมไปด้วย
ในใจผมคิดว่าทำไมต้องเรียนครู เรียนครูแล้วได้อะไร ,, เหนื่อยจะตาย จะทนกับนักเรียนได้หรือ
เมื่อที่บ้านพูดแบบนี้ ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะเรียนครูเพียงอยากเดียว เพราะผมคิดว่าทางบ้านคงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผมแล้ว
เพราะที่บ้านญาติ ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นครู คงอยากเห็นผมเป็นครูเหมือนพวกเขา
ผมจึงตัดสินใจเรียนครูที่คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ ผมเลือกเรียนสาขาเทคโนโลยีการศึกษา
เพราะผมชอบวิชาคอมพิวเตอร์มาก ๆ และคิดว่าสาขานี้คงให้ความรู้ผมได้มากมาย และกว้างขวางกว่าสาขาคอมพิวเตอร์โดยตรง
เพราะสาขานี้เป็นสาขาที่เบ็ดเตล็ดทางวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี , ผมได้เรียนรู้จากสาขานี้มากมาย
ทั้งระยะเวลาสี่ปี ที่ผ่านมาก ทำให้ให้ผมได้เรียนการวางตัวจากอาจารย์ให้มหาวิทยาลัย
การที่จะเป็นครูในอนาคตการพูดการจา
ทั้งสี่ปีที่ผ่านมา ผมได้เรียนวิชามากมายที่เกี่ยวกับวิชาชีพครู ทั้งความเป็นครู การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การบริหารห้องเรียน และอื่น ๆ อีกมายมาก
เมื่อถึงเวลาที่ผมได้ไปออกทดลองสอนห้าวันที่ผ่านมา ทำให้ผมได้นำวิชาความรู้ต่าง ๆ ได้นำไปใช้จริง
และผมคิดว่าการเรียนรู้ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว มันไม่พอสำหรับผม
ในการออกทดทองสอนทั้งห้าวัน ทางโรงเรียนได้มีข้อเสนอมาให้ผมว่า ต้องการมาสอนที่โรงเรียนทั้งห้าวัน
หรือต้องการออกค่ายลูกเสือเนตรนารีสามวัน และมาสอนในห้องเรียน สองวัน
ในใจผมคิดว่า การที่เราจะไปสอนอะไรให้กับนักเรียนนั้น เราต้องมีประสบการณ์ และต้องทำให้นักเรียนยอมรับ
ที่จะพร้อมเรียกเราว่า .. ครู ได้
ดังนั้น ผมจึงได้ออกไปฝึกหาประสบการณ์ในค่ายลูกเสือเนตรนารี กับนักเรียน ในวันแรก ๆ นักเรียนก็ยัง งง ว่าผมคือใคร มาทำอะไรที่นี้ เพราะทางโรงเรียนไม่ได้มีการให้แนะนำตัว อะไรเลย ..
เมื่อไปถึงค่าย …
ผมก็ได้เดินเข้าไปนักเรียน เพื่อทำความรู้จัก ผมบอกกับนักเรียนว่าผมจะมาสอนและดูแลพวกเขาในการอยู่ค่ายครั้งนี้
เมื่อนักเรียนได้ยินผมพูดแบบนี้ นักเรียนก็ตอบว่า .. ครู เป็นครูแต้ก่า
ผมก็ตอบไปว่า ... ครับ (ได้ยินนักเรียนเรียกครู รู้สีกแปลก ๆ)
ในการอยู่ค่ายพักแรม ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย.. ทั้งเด็กนักเรียนที่เป็นลมในกิจกรรมต่าง ๆ เราก็ต้องไปช่วยปฐมพยาบาล
ช่วยหาน้ำ หาข้าวในนักเรียน ช่วยให้ความรู้ในกิจกรรมต่าง ๆ บอกได้เลยว่า เหนื่อยมาก ที่ต้องอยู่กลางแดด กลางป่า
แต่ถามว่า แล้วทำไปทำไม … ตอบเลยก็ไม่รู้สิ ใจมันบอกให้อยู่มั่ง
เมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งวัน ผมตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปดูแลนักเรียน ค่อยดูว่านักเรียนทำกับข้าวกินกันหรือยัง ..
ค่อยถามว่าเมื่อคืนหลับสบายดีไหม เป็นยังไงกันบ้าง มีใครไม่สบายหรือป่าว
ทุกอย่างนี้มันทำให้ผมคิดว่า … ใจผมเริ่มห่วงเด็ก ๆ แล้วหรือ ผมรักการเป็นครูแล้วใช่ไหม
ในการอยู่ค่ายผมได้พบเจอกับเหตุการณ์หลายอย่างทั้งเรื่อง นักเรียนซกต่อกัน
ผมได้เข้าไปห้าม , และคอยบอกให้กับนักเรียนว่า ทำไมเราต้องทะเลาะกัน เราเป็นเพื่อนกัน เรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ
เรายกโทษให้กันได้ และในอนาคตเราต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอีกมากมาย .
และผมก็ได้เล่าเรื่องในอดีตของการเรียนหนังสือให้นักเรียนฟังว่า เมื่อก่อนครูก็ทะเลาะกับเพื่อนครูแบบนี้
ครูทะเลาะกันหนักมาก ไม่ยอมคุยกันตลอดสามปี แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงทุกวันนี้
ครูยังนึกถึงว่า เพราะอะไรทำไม เราไม่คุยกัน เสียดายเวลาที่เราเคยมีต่อกัน ,,
นักเรียนจงใช้เวลาในการเรียนรู้ของนักเรียน และการอยู่กับเพื่อนในคุ้มค่าให้มากที่สุด
แล้วเมื่อนักเรียนทำงานมาจะเสียดายเวลาแห่งนั้น ถ้านักเรียนทำไม่ได้เต็มนี้ตอนนี้
ผมบอกให้นักเรียนนั่งคุยกัน ปรับความเข้าใจกัน และนักเรียนทั้งสองคนก็กอดกัน …
ผมเห็นภาพนั้นแล้ว ถึงกับปลื้มมากว่า คำพูดของเราสามารถสั่งสอนให้นักเรียนกับมารักกันได้ สิ่งเหล่านี้สิ่งเล็ก ๆ ที่ผมยังประทับใจ
และผมก็รู้แล้ว่า ทำไมที่บ้านถึงอยากให้ผมเป็นครู เพราะแบบนี้นี้เอง ..
และยิ่งถ้าเราได้เห็นนักเรียนคนหนึ่งที่เราได้สอนเขามาตั้งแต่เด็ก จนประสบผมสำเร็จในชีวิต เราคงน่าจะประทับใจอย่างมาก
สำหรับผม .. ผมถือว่าผมคิดถูกแล้ว
ที่เลือกเรียนครู เพราะผมรู้ว่าชีวิตของคนเรานั้น มีอาจจะไม่ยาว สักวันอาจจะพบเจออะไร
แต่ถ้าเราได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่…
สั่งสอนเด็กนักเรียนที่เปรียบเหมือนผ้าขาว ให้มีสีสันที่สวยงามเชิดชูอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีเกียรติได้สักคนก็คงจะดี
“ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องใช้ในหัวใจ ถึงจะเข้าใจ สัมผัส และเห็นคุณค่าของมัน”
พงศ์พันธ์ ปัญญาแก้ว
6/2/57
ชื่นชมและเป็นกำลังใจค่ะ...
-สวัสดีครับ
-เป็นกำลังใจให้พ่อพิมพ์ของชาติในอนาคต..
-ขอบคุณครับ