โรงพยาบาลพบพานจึงเปิดใจ
ตอนที่ 1........
http://www.naturedharma.com/data-2246.html
วันนี้โชคดีได้มาโรงพยาบาล ที่ว่าโชคดีเพราะได้ข้อมูลน่าคิดสะกิดใจเกี่ยวกับสภาพความเป็นไป ในสังคม และโยงเกี่ยวถึงเรื่องการทำงาน และระบบงานที่พบเห็นในสังคมปัจจุบัน มีเรื่องสะกิดใจ 3 เรื่อง
1.เรื่องหน้าที่การงาน
2. เรื่องประสบการณ์ และการเรียนรู้
3.เรื่องการบริหารกิจการ
ด้วยวันนี้ผมนำญาติผู้สูงอายุวัย 100 ปี มาพบแพทย์ตามนัด ก่อนอื่นขอบอกให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลผู้ป่วยที่สูงวัย ซึ่งเป็นข้อมูลที่จะสามารถอธิบายอะไร ๆ ได้มากมายเพื่อประกอบเหตุผลในแนวคิด
คนไข้รายนี้อายุ 106 ปี ตามทะเบียนบ้าน แต่หากอายุจริง ๆ แค่ 99 ปี สภาพร่างกายของผู้ป่วยที่เป็นอุปสรรค์ในเรื่อง นั่ง นอน ยืน และเดิน คือหลังโกง คนสภาพที่หลังโกงหากนั่งนาน ๆ จะเหนื่อยง่าย ไม่ต้องมากแค่นั่งเพียง 15 นาทีก็จะมีอาการเหนื่อย อยากจะนอนราบมากกว่า
ผมนำคนไข้มาโรงพยาบาลเวลาตามนัดคือ 9.00 น. การตรวจรักษาเสร็จสิ้น เวลา 12.16 น. จะเห็นว่าผู้ป่วยรายนี้ต้องนั่งบนรถเข็ญของโรงพยาบาล 3 ชั่วโมง 16 นาที โดยประมาณ สรุปว่าเกินเวลาที่ควรเอนหลังนอนราบนานผิดปกติ เวลานี้เป็นเวลาที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษบางด้วยแล้ว
ขอเริ่มจากผู้ป่วยเข้ามาถึงโรงพยาบาล ได้จัดการวัดความดันเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ส่งตัวไปห้องเจาะเลือด โดยเจาะที่ปลายนิ้ว พยาบาลที่เจาะเลือดได้แนะนำให้ไปซักประวัติตามห้องที่กำหนด ช่วงนี้ไปนั่งรอคิวประมาณ ไม่น้อยกว่า 30 นาที หรือมากกว่านั้น ผมผู้ประคองคนไข้ก็รู้สึกว่าไม่สบายใจ เมื่อคนไข้เริ่มบ่นว่าเหนื่อย ตอนนี้คนไข้อยากจะนอนราบ
มีพยาบาลหน้าห้องตรวจซึ่งมีหน้าที่รับข้อมูล โอ.พี.ดี. การ์ด (ข้อมูลที่แพทย์บันทึกเรื่องเกี่ยวโรค การรักษา การจ่ายยา การนัดผู้ป่วยนั่นเอง) เข้ามาซักถามเกี่ยวกับผู้ป่วยที่ผมประคองอยู่ พยาบาลท่านนี้คงจะเห็นว่านี่คือผู้ป่วยที่ต้องดูแลพิเศษ ผมก็ได้บอกรายละเอียดว่ากำลังซักประวัติป่วย ซึ่งซักประวัติกับญาติผู้ป่วยที่มาพร้อมกับผมอีกคน คนไข้ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยจึงต้องมีผู้ประคองอย่างน้อยสองคน ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ ผมประคองคนไข้ อีกคนก็ดำเนินเรื่องการซักประวัติ
ผมนั่งนึกอยู่ในใจว่า พยาบาลคนที่เข้ามาเป็นธุระดูแลคนไข้สูงอายุรายนี้ เป็นคนที่เข้าใจในหน้าที่การงาน และมีความรับผิดชอบสูง มีอะไรที่ดี ๆ อยู่ในตัว ที่พูดเช่นนี้เพราะท่านไม่ได้มีธุระในเรื่องนี้ แต่ทำด้วยจิตสำนึก จิตอาสา ที่เห็นว่าตรงนี้คือช่องว่างของการบริการในสถานที่นี้ ดูอายุอานามตกราว ๆ 30 กว่าเห็นจะได้ คนรุ่นนี้ที่อยู่ในสังคมปัจจุบันมีความคิดอย่างนี้ถือว่าเป็นคนมีคุณภาพในหน้าที่การงานอย่างหาที่ติมิได้ สมควรได้รับการชมเชย และยกย่อง ซึ่งผมก็ได้ชมเชย และยกย่องเขาไว้ในใจอย่างสุดซาบซึ้ง
ขณะเดียวกันก็กำลังจ้องมองพยาบาลที่ซักประวัติ ซึ่งเขามีอายุประมาร 25 ปีกว่าเห็นจะได้ หากพยาบาลท่านนี้เห็นใน โอ.พี.ดี.การ์ด ว่าผู้ป่วยรายนี้มีอายุถึง 106 ปี ผมคิดว่าเขาน่าจะมีความคิดอะไรของเขาคล้าย ๆ กับพยาบาลที่ผมกล่าวอีกคน ความคิดที่ผมตั้งไว้กลายเป็นหมัน ด้วยเพื่อนที่มาจากการช่วยซักประวัติบอว่าให้ “รอตามคิว” ผมผู้ประคองคนไข้ 100 ปี ที่กำลังบ่นว่าเหนื่อยก็ต้องเดินไปหาพยาบาลผู้มีจิตสำนึกด้วยไร้กฎระเบียบทันที
เมื่อเดินเข้าไป ก็ได้ตอบรับด้วยการยิ้ม และพูดว่า “ซักประวัติเสร็จแล้วรึ” เป็นคำถามที่ผมเข้าใจทันที จากนั้นผมเห็นพยาบาลผู้นี้พลิกค้น โอ.พี.ดี.การ์ด ของผู้ป่วยสูงอายุ วัย 100 ปี ไปเก็บข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็แนะนำให้ผมเข็นผู้ป่วยมานั่งรอ ห้องเบอร์ 3 (เขียนที่หน้าห้องว่า ตรวจผู้สูงอายุ) มีคนไข้นั่งรอที่หน้าห้องเพียง 1 คน ผมรู้ดีว่าการไปรอคิวตรงนี้เป็นการลัดคิวแน่นอน
เมื่อผมเข็นรถและนั่งรอ พยาลจากห้องเบอร์ 4 บอกผมว่า ไปรอห้องเบอร์ 4 ผมสอดสายตามองพยาบาลที่ใช้ให้ผมนำคนไข้ไปห้องเบอร์สามทันที ดูสีหน้าแก่สลดใจไปนิด ถ่ายทอดความรู้สึกได้ว่า การไปตรวจห้องเบอร์ 4 ต้องรออีกนาน เพราะมีคนไข้นั่งรอหน้าถึง 4 คน ผมเป็นผู้ที่มีการสังเกตก็ต้องสังเกตต่อ ผมมองด้วยวิจารณญาณ ว่าพยาบาลห้องเบอร์ 4 หน้าตาบ่งบอกว่าไม่ชอบในการกระทำของพยาบาลห้องเบอร์ 3 อย่างเห็นได้ชัด
ผมให้เพื่อนของผมประคองคนไข้ที่หน้าห้องตรวจ ส่วนผมเองนั่งสังเกตการณ์ห่าง ๆ อยู่ข้างนอก พยาบาลห้องเบอร์ 3 ซึ่งมีเพื่อนอีกคนนั่งทำงานร่วมกัน คุยกันและส่งสายตามาที่ผู้ป่วยสูงอายุ 100 ปีของห้องเบอร์ 4 เป็นระยะ ผมทายถูกว่าเขากำลังคุยเรื่องอะไร
ผมมานั่งสังเกตผู้ป่วยหน้าห้องเบอร์ 4 ต่อ ว่าสิ่งต่าง ๆ
ที่จะเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้จะมีอะไรอีกที่ว่า
”น่าคิดสะกิดใจ” คนแรกที่นั่งรอการตรวจมีอายุประมาณ 20 ปี
ดูหน้าตาท่าทางเขาไม่ได้สนใจผู้ป่วยวัยชรานี้เท่าไร เป็นเพราะเขายังมีประสบการณ์น้อย ถึงคิวเขาเขาก็เข้าไปรับบริการทันที คนไข้คนที่ 2 -3 และ 4 อยู่ในวัย 40- 50
ปีโดยประมาณ
ผมสังเกตดูความรู้สึกของเขาที่จะให้หญิงชราลัดคิวนั้นก็คงไม่มี และก็จริง
ๆ
ด้วยทราบข้อมูลจากเพื่อนที่ประคองหญิงชรา ว่าที่ 3
คนนี้ให้ผู้ป่วยหญิงชราลัดคิวนั้นก็เพราะเขาทั้งสามได้ยินเสียงบ่นจากคนหญิงชราว่า
“เหนื่อย ..นั่งไม่ค่อยไหว..อยากจะนอน”
ผมดีใจที่ยังมีเหตุผลให้หญิงชราได้ลัดคิวหน้าห้องอีกครั้ง
ทันทีที่หญิงชราวัย 100 ปี ได้ลัดคิวเข้าตรวจจากคนที่ 5 เป็นคนที่ 2 ผมเฝ้าสังเกตนางพยาบาลห้องเบอร์ 3 ซึ่งนั่งมองห้องเบอร์ 4 อยู่ไม่ละสายตา ว่าจะมีท่าทีอย่างไร ตรงตามความคิดของผมทุกประการ พยาบาลห้องเบอร์ผู้นี้ยิ้มแป้นทันที่ที่เห็นหญิงชราได้ลัดคิว ผมยังเห็นมือเธอไปสะกิดเพื่อนพยาบาลที่นั่งใกล้ และเขาทั้งสองคุยกันสองสามคำ ความหมายของคำพูดผมคิดว่าตรงกับใจผมเช่นกัน
หลังจากรับการรักษา รอรับยา ต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมงกว่า ผู้ประคองคนไข้รู้ดีว่าจิตใจ และสภาพร่างกายของคนไข้อยู่ในสภาวะใด เรื่องอย่างนี้ใครจะรู้สักกี่คน ตอนนี้อย่างน้อย ผม กับ เพื่อนผู้ประคองคนไข้ และอีกคนคือ นางพยาบาลหัองเบอร์สาม
จากที่เล่าเหตุการณ์มาอย่างละเอียดก็พอจะทราบพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ตัวละครชีวิตจริง ๆ แสดงออกมา ซึ่งแต่ละคนก็แสดงในบทบาทของตัว บางครั้งเขาอาจจะแสดงนอกบทบ้างเพื่อให้ละครมีความสมบูรณ์ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ชม บางครั้งต้องล้ำเส้นผู้กำกับบ้างเพื่อผลดีของผู้ชม เพื่อประโยชน์ของผู้ชม ผู้กับกำที่มีประสบการณ์ มีใจกว้าง รับความคิดเห็นของผู้อยู่แวดล้อมบ้าง โดยยึดหลักคุณธรรม สัจธรรมเป็นที่ตั้งเข้าใจแล้วตรงนี้จะมิตำหนิผู้แสดงมิได้เลย
ผู้เล่าเหตุการณ์คิดว่าทั้ง 3 เรื่อง ที่กล่าวมาข้างต้นมีความชัดเจน ไม่ต้องกล่าวพิสดารอีกต่อไป อย่างไรก็ดีเพื่อไขข้อข้องใจใน 3 เรื่อง ที่เกริ่นไว้ตอนต้นเรื่อง ก็จะขอพูดเป็นตอนที่ 2 อีกครั้งหนึ่ง
1.เรื่องหน้าที่การงาน
2. เรื่องประสบการณ์ และการเรียนรู้
3.เรื่องการบริหารกิจการ
...รอ ตอนที่ 2 ครับ เร็ว ๆ นี่ ที่นี่
ขอบคุณที่บันทึกการสังการ การบริการทางด้านการพยาบาล
ผมชอบอ่าน gotoknow ก็ตรงนี้แหละ
คนดีและหรือมีความสามารถถูกกล่าวถึงจากบุคคลที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ผมเขียนข้อชื่นชมความบันทึกนี้
พอเปิดกลับมา ถูกลบไปแล้ว
แปลกใจ
เข้ามาอ่านครั้งใด ไม่ผิดหวังเลย