เทคนิคการแก้ปัญหา "ตาถั่ว" ภาคปฏิบัติ


การที่จะหยิบพระแท้ให้ได้นั้น มีสามขั้นตอนที่ผมใช้ในชีวิตจริงๆ แบบไม่ปิดบังใดๆทั้งสิ้นเลย ก็คือ

1. ดูเป็น 2. เห็นทาง 3. กำลังซื้อ

ในการที่จะผ่านขั้น ดูเป็น นั้น

ขั้นแรกของการส่องพระ ต้องฝึกและพัฒนาสายตาครับ


 ถ้ายังดูพระเก๊เป็นพระแท้อยู่ ถือว่ามีอาการ "ตาถั่ว"

อย่าเพิ่งขยับใดๆ ทั้งสิ้น ขยับเมื่อไหร่ เจ็บตัวเมื่อนั้น

วงการพระเครื่องนี้ไม่ปรานีผู้รู้น้อย และอ่อนแอ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

ท่านจึงต้องฝึกสายตา หัดดูจนตาใสชัดเจนแล้วค่อยลองขยับ

คนที่ยังมีอาการ "ตาถั่ว" อยู่ แสดงว่ายังไม่เข้าใจ "วิธีการรักษาอาการตาถั่ว"

 
ที่จริง เรื่องนี้ผมได้เขียนบรรยายไว้พอสมควรแล้ว แทรกๆในหลายเรื่องที่ผ่านมา มากเลยครับ

ผมเน้นถ่ายภาพพระ ภาพจุดฟันธง ที่ผมถ่ายแบบเน้นๆ ชัดๆ  เจตนาจริงๆ ก็คือ ต้องการให้เพื่อนๆ ใช้เป็น "ยารักษาอาการตาถั่ว"

การที่จะใช้รูปภาพจริงๆ ให้เกิดประโยชน์นั้น ท่านจะต้องนั่งทำความเข้าใจ ระดับดูรูปจนเข้าใจหลักการพัฒนาการของเนื้อ

และยังต้องใช้ความเข้าใจดังกล่าวไป calibrate ปรับสายตาให้เข้ากับขนาดจริงๆ ของพระเสียก่อน

เพราะพระจริงๆ ส่วนใหญ่จะเล็กกว่ารูปที่ผมถ่ายเยอะมาก และดูยากกว่ารูปแน่นอน

และบางทีแสงจริงๆ ก็ไม่ค่อยพอเสียด้วย ต้องฝึกดูในที่แสงน้อย หรือแม้กระทั่งในที่มืดๆมัวๆ โดยเฉพาะการไปดูพระตามบ้าน ที่น่าจะมีพระแท้ๆมากกว่าตามร้าน หรือตามแผงขายพระ

การแก้อาการตาถั่ว ก็ค่อยๆ ทำ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ทำทุกวันๆๆๆๆๆๆ ตาจะค่อยๆใสขึ้นๆๆๆๆๆๆๆ จนใช้งานได้จริงในระดับภาคสนาม

โดยการฝึกนั้น ต้องเริ่มจากองค์จริงๆ ดูง่ายๆ เสียก่อน  แล้วจึงไปดูพระดูยาก หลากแบบ 

ตั้งแต่พระเก๊ดูยาก ไปจนถึงพระแท้ดูยาก

พอดูพระแท้ๆ ชัดแล้วจึงไปฝึกภาคสนาม ที่จะต้องก้าวข้ามพระระดับฝีมือเป็นร้อยๆฝีมือ

พอชัดเจนเรื่องเนื้อ พิมพ์ ศิลปะ ตำหนิ และวิธีการดูแล้ว จึงถือว่า หาย จากอาการ "ตาถั่ว"

และถือว่าผ่านขั้นที่ 1 คือ "ดูเป็น" แล้ว

ต่อไปในขั้นที่ 2 ที่ผมใช้จริงๆ ก็ต้องฝึกให้ "เห็นทาง" ว่าพระแท้ๆ อยู่ที่ไหน ไม่ใช่ตามแผงขายขยะตามตลาดพระแน่นอน

 และ

นำความรู้ที่ได้ ไปจัดสมดุลของขั้นที่ 3 คือ "กำลังซื้อ" ให้ลงตัวกับกำลังของแต่ละท่าน  และเอื้อมถึงจริงๆ อย่างไม่เพ้อฝัน และไม่ท้อแท้ (ตั้งแต่ ฟรี หลักสิบ หลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น ฯลฯ )

ที่มีเทคนิครายละเอียด ที่เขียนไว้แล้วในหลายเรื่องเช่นกัน

แต่ยังไงๆ ก็ต้องฝึกหัดสายตาให้หายจากอาการ "ตาถั่ว" เสียก่อนครับ

เพราะถ้าไม่หายตาถั่ว เสียเงิน เสียเวลาเปล่าๆ แน่นอน มีร้อยล้าน ก็หมดร้อยล้าน แม้เล่นพระสะสมพระมาตลอดชีวิต ก็จะมีแต่พระเก๊ไว้ให้ลูกหลานครับ

อิอิอิอิอิอิอิ


หมายเลขบันทึก: 540028เขียนเมื่อ 20 มิถุนายน 2013 22:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2013 09:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

หลักการของเซียนรุ่นเก่าในวงการที่จะได้พระแท้คือ ตาถึง เงินถึง ใจถึง ถ้ามี 3 อย่างครบ โอกาสที่จะได้พระแท้ที่ต้องการก็มีมาก แต่อย่าลืมคำหนึ่งก็คือคำว่า "โลภ" .....สวัสดี

ผมว่าหลักของเซียนยังขาดประเด็นของการ "ค้นหา" และการปรับราคาให้ตรงกับเงินในประเป๋า

ถ้ามีเงิน 500 บาท จะมีความหวังได้ไหม

หลักการที่ผมพบ หวังได้ครับ ถ้า ดูเป็น และ เห็นทางแล้ว กำลังซื้อ (เงินถึง) ก็แก้ได้แล้วครับ

เพราะผมถือว่า "มีวิชา เหมือนมีทรัพย์ อยู่นับแสน" ครับ

อิอิอิอิอิอิ

ผมเคยส่งภาพพระสมเด็จไปให้ท่านผู้รู้ท่านหนี่งดู

ท่านบอกว่าพระคุณดูผิดปกติ

แล้วก็บอกว่าทําไมคุณชอบพระพลาสติก พระองค์นี้เป็นพระพลาสติก

ผมไม่สะบายใจอยู่หลายเดือน

วันนี้ผมขุดขอบพระออกมาจํานวนหนึ่ง

พร้อมกับขูดผิวพลาสติกแข็งและเรซินจากที่ต่างๆ 5 กอง(เล็กๆ)

จุดไฟ ... ปรากฎว่าลุกติดไฟทั้งหมด

ยกเว้นที่ขูดออกจากองค์พระ .... แม้นจะลองหลายครั้ง

อาจารย์อาจจะบอกว่าผมโง่จัง

จึงเรียนขอความอาจารย์รู้ว่าคนที่ไม่รู้อะไรเลย

จะพิสูจน์อย่างไรให้พระเสียหายน้อยกว่านี้

หมายเหตุ ด้วยความเสียดายผมเลยกลืนเศษผงพระนั้น

ถ้าเงินไม่พอไม่ว่าจะเป็นกรณีใดในขณะที่เจรจาซื้อขาย เซียนก็จะมีวิธีการต่างๆ เช่นเรียกหุ้นส่วนหรือวางมัดจำก็ได้ แต่บางกรณึก็จะใช้เล่ห์เหลี่ยมโดยการตีออกแล้วให้คนไปช้อนซื้อภายหลัง หลักการของเซียนที่ดีนะครับ ตาถึงคือดูพระขาด เงินถึงคือมีแหล่งเงินทุนสามารถเรียกระดมได้ตลอดเวลา ถ้าผู้ขายเป็นคนในแวดวงด้วยกัน ก็จะเจรจาหรือวางมัดจำกันครับ ถ้าคนขายไม่รู้จักกันเลยและไม่มีชื่อเสียงในวงการ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกราคาได้สูงจนเซียนไม่มีเงินซื้อ เซียนจะอยู่ในถ้ำรอคนมาขายครับ ถ้าจะไปบุกซื้อก็จะมีการเตรียมการนะครับ ไม่ใช่จะเดินไปทื่อๆโดยไม่การเตรียมการ และเซียนหลายๆคนก็จะแปลงกายและไม่แสดงตัวว่าเป็นเซียน เพราะรังแต่จะทำให้ต้นทุนซื้อสูงเกินความจำเป็นครับ ส่วนใจถึงนั้นความหมายของกลุ่มคนพวกนี้คือกล้าซื้อพระที่ตัวเองมั่นใจ หลายๆท่านคงได้ยินคำว่าเก๊ปาดคอเซียนนะครับ เพราะพวกสร้างพระมือผี ก็จะเล่นงานเซียนสายตรงพวกนี้ เวลาโดนทีก็บาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน แต่พวกนี้เป็นนักมวยที่เก็บอาการ จึงไม่เห็นว่าจะมีใครโวยวายให้สังคมรับรู้ครับ เรื่องการค้นหาไม่ต้องห่วงหลอกครับ เพราะใครๆก็อยากขายให้เซียนครับ เพราะมันได้ราคากว่าขายให้ผู้เล่นด้วยกัน หลายๆคนจึงวิ่งหาแล้วจัดส่งให้กับเซียนครับ เพราะมีแรงรับซื้อตลอดเวลา เพียงแต่ไม่ใช่ราคาตลาดนะครับ แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนเล่นมากมายทำตัวเป็นสายส่งที่ดีครับ ความจริงอยากจะเล่าอีกหลายๆกรณี แต่เผอิญมีธุระและมาใช้พื้นที่ของอาจารย์มากเกินไปก็ต้องขออภัยด้วยครับ........สวัสดี

อิอิอิ ผมหมายถึงคนไม่มีเงินมากพอ จะค้นหาพระราคาถูกได้อย่างไรนะครับ

สำหรับผมแล้วขั้นตอนแรกคือ หาอาจารย์ดีๆสักคน จากนั้นกำหนดเป้าหมายว่าจะเล่นพระแนวไหน แล้วไปซื้อพระแท้ๆที่มีการประกันจากร้านที่มีมาตราฐาน แล้วดูลักษณะพระนั้นจนขึ้นใจ แล้วเดินหาในท้องตลาดทั่วไป(ราคาต้องไม่แพง) ไม่เหมือนไม่คบ ถ้าเหมือนก็เก็บกลับมา แต่ถ้าเอามาเทียบเคียงแล้วไม่ใช่ ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจในพระที่ตัวเองมีอยู่ ซึ่งนั่นต้องหมายถึงว่าต้องรู้ว่าไม่ดีตรงไหน อาจจะช้าแต่ดีกว่าสะเปะสะปะครับ สำหรับท่านที่ไม่เข้าใจว่าพระพลาสติกคืออะไร ก็ขอให้อ่านบทความของท่านอาจารย์ละเอียดๆและย้อนหลังไปเรื่อยๆครับ ก็จะเข้าใจมากขึ้น คำว่าพระพลาสติกในความเข้าใจของผมคือพระเก๊ แต่ไม่ได้หมายความว่าพระทุกองค์ที่เก๊ต้องทำจากพลาสติกนะครับ พระเก๊มีหลายระดับราคานะครับ เก๊ฝีมือดีๆราคาขายส่งบางองค์แพงกว่าพระแท้หลักหมื่นเสียอีก อย่างพระสมเด็จเก๊ดีๆ บางองค์ในอดีตก็จัดทำจากพระเนื้อผงที่เซียนมือผีเสาะหามา ว่าเก่าและใกล้เคียง แล้วมาอัดขึ้นรูปใหม่ โดยการถอดพิมพ์พระแท้มา ซึ่งก็แน่นอนลูกค้าก็คือเซียนที่โดนนั่นเอง แต่เมื่อพลาดแล้ว ก็มีความฉลาดและเจ้าเล่ห์เพิ่มขึ้นมา ก็เลยกำหนดเงื่อนไขอะไรออกมามากมาย เรียกว่าการ์ดรัดกุมเลย ศึกษาสะสมพระต้องใจเย็นๆ เหมือนเราเรียนหนังสือนะครับ ต้องเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงดร. ก็ใช้เวลาประมาณ 20 กว่าปีนะครับ ไม่ใช่เล่นปุ๊บเก่งปั๊บ ขอให้อ่านและดู ถ้าถามเซียนแล้วบอกว่าเก๊ ก็ให้ถามว่าเก๊ตรงไหน(ปกติเซียนไม่บอกหรือดูพระให้ใตรหรอกครับเพราะไม่เกิดประโยชน์แก่ตนเองครับ ยกเว้นเป็นเพื่อนกัน) ถ้าไม่สามารถชี้จุดที่ผิดได้ ก็อย่าเพิ่งเชื่อถือนะครับ ใช้สมองไตร่ตรอง แล้วลองหาผู้รู้หลายๆท่านมาให้ความเห็นแล้วเปรียบเทียบดูครับ ขอให้โชคดีและสนุกในการศึกษาและสะสมพระเครื่องนะครับเพื่อนๆสมาชิกที่เป็นลูกศิกษ์ของท่านอาจารย์ดร. ส่วนผมก็คงมาคอยให้ความเห็นส่วนบุคคลแบบงูๆปลาๆตามประสากูรูที่ยังไม่รู้จริงครับ.........สวัสดีโชคดีมีพระแท้ๆนะครับ

ครับ สุดยอดครับ ช่วยเขียนมาบ่อยๆนะครับ หลักการและข้อมูลแน่นปึ๊กเลย อิอิอิอิอิ

อาจารย์คงไม่เห็นที่ผมเขียนมาครั้งที่แล้ว

ไม่เป็นไรครับ ผมเพียงแต่อยากเล่าเรื่องของผมให้อาจารย์ฟัง

ในที่สุดผมไปหาเซียนที่ปล่อยพระให้ผม

คุยกันอยู่ยาวนานแต่สรุปสาระได้ดังนี้

1)  เขาตกใจมากกับการขูดพระของผม แล้วบอกว่าทำได้อย่างไรเนื้อพระแกร่งมากผมบอกเขาว่า หินกรวดที่คนทำคอนกรีตที่มี Strength > 1000 kg/sq.cm. ยังขูดได้เลย ที่พระขูดไม่ได้เพราะความเกรงใจ(ศรัทธา) ความเสียดาย กดลงไปหน่อยเดียวก็ไม่กล้าซะแล้ว บอกว่าเห็นไหมเป็นแต่รอยนิดเดียว ความจริงอีกอย่างคือความแกร่งยังน้อยถ้าเปรียบกับพระรอด (145ปี/1300ปี)

2)  เขาให้ลูกน้องออกไปซื้อพระพลาสติกอัด(แถวนั้นเป็นสนามพระ) แล้วบอกว่า พระพลาสติกมีเนื้อไม่แน่นเพราะเป็นพระใหม่ยิ่งมีพลาสติกหุ้มเวลากระทบโต๊ะ granite จะมีเสียงกริ๊งไม่ใสเท่าพระสมเด็จ แล้วเขาก็ทดลองให้ดู แล้ร้องด้วยความตื่นเต้นว่า เห็นไม๊ๆ ผมก็ตอบว่า อาจจะเป็นไปได้ แต่มันไม่ชัดเจนจนผมกล้าฟันธงว่ามันแตกต่าง

3)  เขาเอาพระทั้งทั้งสองส่องด้วย microscope และเปรียบเทียบให้ดูความแตกต่างระหว่างคราบของความฉ่ำของน้ำมันตังอิ้วกับคราบผิวพลาสติก พร้อมกับบอกว่า เห็นรูชนิดต่างๆบนพระสมเด็จไหม ถ้าอัดด้วยพลาสติกมันจะต้องไม่มีหรืออุดตันด้วยพลาสติก แต่ดูรูทั้งหลายตั้งมากมายมีอาการกลมขอบมนเหมือน spec ของพระสมเด็จทุกประการและบอกให้ดูเนื้อที่ขยายเอาเอง ตัดสินใจเอง

4)  เขาสรุปให้ฟังว่าความกังวลของผมคงทำให้เขา convince ผมไม่ได้ แต่เขายืนยันได้ว่าพระองค์นี้ไม่ใช่พลาสติก

พระตอนนี้ก็เสียหาย ผมฟังแล้วก็สะดุ้ง นึกใจใจว่าความใจร้อนขูดพระทำให้เขาไม่ต้องรับผิดชอบ

ไม่ว่าอาจารย์จะเห็นอย่างไร หรือไม่มีความเห็นอย่างครั้งที่แล้ว ผมสัญญาว่าจะไม่เขียนมารบกวนอีก


สรุปว่ายังไงครับ งงงงงงง อิอิอิอิ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท