คำชี้แจง
ในช่วงของการขับเคลื่อนกิจกรรมบริการวิชาการ (หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน) ในปี 2555 ที่ผ่านมา นอกจากการเขียนบทความวิชาการ หรือการเขียนรายงานวิชาการแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามเชิญชวนให้อาจารย์และนิสิตได้เขียนเพิ่มเติมก็คือเรื่องเล่าเร้าพลัง (story telling) เพื่อก่อให้เกิดการสื่อสารสร้างสุขที่หลากหลายรูปแบบ อ่านสนุก ไม่เครียด...
แต่แน่นอนครับ การเขียนคือทักษะใหญ่ไม่แพ้ทักษะของการคิด หรืออื่นๆ ประสบการณ์ผ่านการฝึกฝนคือหัวใจหลักของการเขียนเพื่อการสื่อสาร
นี่คือเรื่องเล่าของอาจารย์รัตนา หอมวิเชียร หนึ่งในคณะทำงานโครงการ 1 หลักสูตร 1 ชุมชนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ได้ถ่ายทอดเป็นเรื่องเล่าเล็กๆ ซึ่งผมอ่านแล้วพลอยมีความสุขไปด้วย ถึงแม้ชั้นเชิงการเล่าจะไม่ลื่นไหลเช่นนักเล่ามืออาชีพ แต่ผมอ่านแล้ว ผมก็มีความสุข และเห็นมิติอันเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันอย่างน่าสนใจ
เชิญครับ – เชิญร่วมเรียนรู้ด้วยกัน
บูรณาการภารกิจ 4 In 1 และการสร้างทักษะการเรียนรู้แก่นิสิต
การบริการวิชาการโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน
ภายใต้ชื่อโครงการ
“การถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างอาคารดินอบสมุนไพรเพื่อความยั่งยืนของชุมชนบ้านท่าขอนยาง” เริ่มดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2555 โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งมีความคาดหวังหลักๆ
ในการดำเนินการคือการร่วมพัฒนาและทำประโยชน์แก่สังคมผ่านการบูรณาการภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยสู่ชุมชน (4 In 1) คือด้านบริการวิชาการ
การเรียนการสอน งานวิจัย และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
นอกจากนั้นยังรวมถึงการสร้างระบบและกลไกของการพัฒนานิสิตผ่านรูปแบบกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้นิสิตมีคุณธรรมจริยธรรม รู้จักการให้ รู้จักการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม เรียนรู้การทำงานร่วมกัน และการนำความรู้ไปใช้งานผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ตลอดจนการส่งเสริมให้นิสิตได้มีโอกาสสัมผัสวิถีชีวิตอันเป็นสุนทรียภาพของการใช้ชีวิตที่ผูกโยงใยกับศิลปวัฒนธรรม ผู้คน วัด และสถานศึกษา (บวร) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมกล่อมเกลาให้นิสิตมีคุณลักาณะตามปรัชญาของมหาวิทยาลัยที่ว่า “ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน”
กระบวนการขับเคลื่อน : เรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
นอกจากนี้คณาจารย์ยังสามารถนำประโยชน์จากการบริการวิชาการมาพัฒนาการจัดการเรียนการสอนและต่อยอดการทำวิจัย มีการจัดทำแบบสอบถามเพื่อสำรวจความต้องการ หรือโจทย์จากชุมชนเป้าหมาย (ชุมชนบ้านท่าขอนยาง) โดยพบว่า
ชุมชนเป้าหมายเป็นชุมชนของ "ชาวญ้อ" ที่มีภูมิปัญญาเดิมเกี่ยวกับการสร้างบ้านดินเป็นที่อยู่อาศัย และประมาณปี พ.ศ. 2521 ทางวัดเจริญผล ซึ่งเป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงของบ้านท่าขอนยางได้มีการสร้างห้องอบไอน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพของคนในชุมชน
แต่ในระยะหลังได้เกิดปัญหาเชื้อเพลิง-ฟืนขาดแคลน จึงไม่มีการใช้งานห้องอบไอน้ำสมุนไพรต่อไป ดังนั้นชุมชนจึงมีความต้องการห้องอบไอน้ำสมุนไพรกลับมาอีกครั้ง และเพื่อเป็นการอนุรักษ์บ้านดินของชาวญ้อ
คณะกรรมการดำเนินงานและชุมชนจึงร่วมกันทำอาคารดินอบไอน้ำสมุนไพร โดยในส่วนของหม้อไอน้ำจะใช้เชื้อเพลิงก๊าซหุงต้ม ซึ่งหาง่ายและราคาค่อนข้างถูก จากนั้นคณะกรรมการดำเนินงานได้ทำการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน บริบทต่างๆ และตำนานความเป็นมาของชุมชน เตรียมแหล่งวัสดุในการจัดสร้างอาคารดิน
และหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการอบไอน้ำสมุนไพร
โดยการไปศึกษาดูงานยังวัดเจดีย์หอย จังหวัดปทุมธานี และวัดโนนสำราญ
จังหวัดมหาสารคาม
ช่วงกลางน้ำคณะทำงานมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ประสบการณ์ และการให้ความรู้ความเข้าใจในการสร้างอาคารดินและการอบไอน้ำสมุนไพร
เพื่อให้ชุมชน นิสิต และบุคลากร สามารถนำไปปฏิบัติได้เอง และสามารถนำองค์ความรู้ไปถ่ายทอดแก่ชุมชนภายนอกได้
ในส่วนของกิจกรรมการสร้างอาคารดิน นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์และชาวชุมชนบ้านท่าขอนยางได้ร่วมกันก่อสร้างโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน อาคารดินจึงเสร็จสมบูรณ์
สำหรับการบูรณาการงานด้านการเรียนการสอนนั้น มีการมอบหมายงานให้นิสิตทดสอบหม้อไอน้ำสมุนไพร
จัดทำคู่มือการใช้งาน และคำนวณหาความหนาของฉนวนที่เหมาะสมแล้วดำเนินการติดตั้งฉนวนเพื่อลดปริมาณความร้อนสูญเสียผ่านผิวหม้อไอน้ำ ซึ่งทำให้นิสิตได้ลงมือปฏิบัติจริงโดยนำความรู้ที่ได้ในชั้นเรียนไปประยุกต์ใช้งาน
เรียนรู้วิถีชุมชน : ไม่มีที่ใดปราศจากตำนาน-เรื่องเล่า
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมนิสิตกับการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของสโมสรนิสิตซึ่งเป็นการบอกเล่าตำนาน “จระเข้เจ้าเฮ้า” ที่มีชื่อเสียงผ่านลวดลายบนผนังอาคารดิน ซึ่งจากการบอกเล่าของพ่อใหญ่แถว (นายแถว เนื่องวรรณะ) ปราชญ์ชาวบ้านของชุมชน เล่าว่า ในอดีตบริเวณแม่น้ำชี บ้านท่าขอนยางมีจระเข้อยู่อาศัย วันหนึ่งมีคนเอาลูกจระเข้มาให้ทางวัดเจริญผลเลี้ยงเอาไว้ โดยมอบหมายให้เณรรูปหนึ่งเป็นผู้ดูแลนำข้าวปลาอาหารมาให้จระเข้กิน และเรียกจระเข้ตัวนี้ว่า “เจ้าเฮ้า”
เจ้าเฮ้าเป็นจระเข้ที่เชื่องมาก จนแม้แต่เณรและลูกเจ้าเมืองสองคนสามารถขึ้นขี่หลังได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่กล่าวขานถึงเจ้าเฮ้าว่าเป็นจระเข้ที่เชื่อง
ต่อเมื่อเจ้าเฮ้าเติบโตขึ้นก็เริ่มดุร้ายและถึงขั้นแอบกินผู้คน จนในที่สุดวันหนึ่งก็ได้กินธิดาเจ้าเมือง (ท้าวสุวรรณภักดี) ทั้งสองเข้าไป นั่นก็คือ “นางหมัดและนางฮุย” เจ้าเมืองจึงประกาศให้หาหมอปราบจระเข้ และสิ้นสุดการล่าหรือการปราบลงที่อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรในปัจจุบัน ซึ่งชื่ออำเภอวังสามหมอก็มีตำนานมาจากการที่จระเข้ได้ที่กินหมอปราบจระเข้ไปสามคนนั่นเอง และก็มีไม่น้อยที่เชื่อว่าน่าจะเป็นจระเข้ตัวเดียวกันคือเจ้าเฮ้า
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นเรื่องกล่าวขานถึงเจ้าเฮ้าไปต่างๆ นาๆ ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนถึงรายละเอียดบางประการ เช่น บ้างก็ว่าเจ้าเฮ้าไม่ได้ฆ่าลูกเจ้าเมืองทั้งสอง เพียงแต่คาบศพลูกเจ้าเมืองที่จมน้ำกลับมาให้เจ้าเมือง บ้างก็ว่าจระเข้ที่กินลูกเจ้าเมืองเป็นคนละตัวกับเจ้าเฮ้า
จากคำบอกเล่านี้ จึงนำมาสร้างลวดลายที่ได้รับการร่างแบบโดยพ่อใหญ่แถว หลังจากนั้นนิสิตจึงได้ประดับตกแต่งภาพศิลปะนูนต่ำดังกล่าวลงบนผนังอาคารดิน
ความเข้มแข็งยั่งยืน : โจทย์ที่ยังต้องใช้เวลาขับเคลื่อน พิสูจน์
ส่วนการบูรณาการงานวิจัย คณะกรรมการดำเนินงานได้มีโอกาสเข้าร่วมนำเสนอผลงานวิจัย “บ้านดินรักษ์โลก จากงานวิจัยสู่ชุมชน” ในงานนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ (Thailand Research Expo 2012) ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ระหว่างวันที่ 24-28 สิงหาคม 2555
ในการนี้มีงาน "วิจัยวัสดุฉาบบ้านดินจากวัสดุธรรมชาติ" ที่พัฒนาขึ้นให้มีความสามารถในการป้องกันน้ำมากขึ้นเมื่อเทียบกับวิธีการเดิม
ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมทั่วไป ช่วงปลายน้ำ
คณะทำงานได้มีการส่งมอบและสาธิตวิธีการใช้อาคารดินอบไอน้ำสมุนไพร รวมถึงได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับห้องอบไอน้ำสมุนไพร และติดตามผลการดำเนินงานว่าชุมชน
นิสิต และบุคคลทั่วไปที่สนใจ
สามารถนำความรู้ความเข้าใจไปปฏิบัติเองได้จริงเพียงไรและสามารถถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่นหรือชุมชนอื่นได้หรือไม่
เพื่อนำไปสู่การเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน
และยังเป็นการนำผลประเมินหรือความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของการบริการวิชาการในครั้งนี้ไปพัฒนาการจัดการเรียนการสอนและการวิจัยต่อไป
ในภาพรวมพบว่า
ชุมชน นิสิต อาจารย์ และบุคลากร มีความพึงพอใจต่อโครงการและกิจกรรมต่างๆ
ที่จัดขึ้น อย่างไรก็ตาม
หากถามถึงความเข้มแข็งของชุมชนและความยั่งยืนจำเป็นต้องมีการติดตามผลการใช้บริการห้อง
อบไอน้ำสมุนไพรและกิจกรรมที่ต่อยอดจากโครงการนี้ต่อไป
ในอนาคต เป็นไปได้ว่าหากมีการรวมกลุ่มหรือสร้างเครือข่ายของชุมชนที่เข้มแข็ง เชื่อว่าจะนำพาความยั่งยืนตามมาแก่สังคมนี้ได้ โดยเฉพาะการปลูกพืชสมุนไพรที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น
จากที่ติดตามพบว่า ทางวัดมีการปลูกสมุนไพรทั่วไปในพื้นที่วัดและสถานปฏิบัติธรรม รวมถึงชาวบ้านนิยมปลูกพืชสมุนไพรไว้ใช้เป็นยารักษาโรค ซึ่งอาจต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ สำหรับเป็นสินค้าประจำท้องถิ่นได้ และทางวัดมีแนวคิดที่จะสนับสนุนและเผยแพร่ให้ชาวบ้านปลูกสมุนไพรให้เพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนเอง
ที่สุดของการเรียนรู้คือ “ความสุข”
จากการดำเนินการโครงการทั้งหมดที่กล่าวมานั้น หากย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของการทำงานบริการวิชาการของตนเอง เดิมทีตนเองเป็นเพียงอาจารย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เริ่มจากทำงานด้านกิจการนิสิตของคณะ จะได้พบปะกับนิสิตทั้งคณะอยู่เป็นประจำ ตนเองมีความคิดจะพัฒนาการเรียนการสอนโดยการนำกิจกรรมง่ายๆ ที่ใกล้เคียงกับสาขาวิชาที่สอน และหวังที่จะให้นิสิตได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน มีส่วนร่วมในกิจกรรม สร้างความภาคภูมิใจ และมีความสนุกสนานในตัวของกิจกรรมเอง จึงได้นำเอาบ้านดินมาใช้เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงนิสิตกับนิสิต และนิสิตกับอาจารย์ เพราะการทำบ้านดินมิได้มีความสลับซับซ้อน
เหนือสิ่งอื่นใดบ้านดินให้คุณค่าทางจิตใจเป็นอย่างมาก จากที่เป็นแค่กิจกรรมก็ได้ขยับเข้าสู่การทำงานวิจัยร่วมกับท่าน ผศ.ดร.จินดาพร จำรัสเลิศลักษณ์ และจากงานวิจัยดังกล่าว ก็นำมาใช้เป็นงานบริการวิชาการสู่ชุมชนบ้านท่าขอนยาง จนพ่อใหญ่แถวและเพื่อนๆ แห่งบ้านท่าขอนยาง ได้เรียนรู้จริงและทำได้จริง ยิ่งเป็นสิ่งที่นำพาความสุขมาสู่ตัวเอง และยิ่งเป็นการทำงานครั้งแรกกับชุมชน ยิ่งพลอยให้ตัวเองรู้สึกสุขใจมากเป็นพิเศษ
การทำงานครั้งนี้ ค้นพบความสุขหลากหลายประการ
อย่างแรกเลยก็คือความสุขที่ได้ลงไปเรียนรู้วัฒนธรรมของชุมชน เรียนรู้ผู้คน ความเอื้ออาทรจากผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน
อย่างที่สองคือความสุขที่เห็นชาวบ้านเข้าใจและทำบ้านดินได้ด้วยตนเอง เพราะเดิมไม่ได้คาดหวังว่าคนในชุมชนจะสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการถ่ายทอดไปสร้างเองได้จริงๆ ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปเพียงสามเดือน ก็เห็นพัฒนาการหลายอย่างของชาวบ้าน ไม่ใช่แค่ทำบ้านดินได้ แต่ยังหมายถึงการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมอื่นๆ ในบริเวณวัดและบ้านดินนั่นเอง
เช่นเดียวกับครั้งหนึ่ง เกิดการปรานผิดพลาด เมื่อลงพื้นที่แล้วไม่มีอุปกรณ์ทำงาน พ่อใหญ่แถวกับเพื่อนพ้องที่มักจะเป็นคนไม่ค่อยพูด ดูเงียบขรึมและอมยิ้มเป็นระยะๆ ก็หายออกไปจากวัด จากนั้นไม่นานก็กลับมาใหม่ทีละคนสองคน โดยแต่ละคนก็มีอุปกรณ์ติดไม้ติดมือมาคนละอย่างสองอย่าง ถึงจะไม่มากมายนัก แต่นั่นก็คือการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วม และน้ำใจของชาวบ้านที่มีต่อมหาวิทยาลัย หรือมีต่อการเป็นเจ้าของในสิ่งที่กำลังสร้างขึ้นในชุมชนของตนเอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความสุขและความประทับใจที่ยังจดจำได้จนบัดนี้
เรียนรู้นอกชั้นเรียน : เรียนรู้จิตใจกันและกัน
นอกจากนี้ยังมีความสุขกับการทำงานในระดับสาขาและคณะ
เพราะการทำงานครั้งนี้ถือว่าเข้มข้นกว่าเดิมมาก มีการระดมกำลังจากอาจารย์
เจ้าหน้าที่ และนิสิตในคณะ เพราะคณะเราเป็นคณะไม่ได้ใหญ่โต สิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้คือการที่ได้ทำงานกับอาจารย์ต่างสาขาที่มักเจอกัน
แต่ไม่ได้มีโอกาสที่ได้ทำงานร่วมกัน ได้เรียนรู้อุปนิสัยใจคอของนิสิต
เวลาอยู่ในชั้นเรียน เราจะสังเกตไม่ลึกซึ้งเท่าการได้ทำกิจกรรมร่วมกัน
ในชั้นเรียนเห็นเพียงนิสิตนั่งเรียนแล้วฟังบรรยาย พูดคุยกัน หรือมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเพียงเล็กน้อย แต่การได้ทำบริการวิชาการครั้งนี้ ทำให้เห็นถึงอุปนิสัยใจคอของนิสิตแต่ละคน - คนนี้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อน
คนนี้เป็นที่รักของเพื่อน คนนี้เป็นคนเงียบชอบทำ ไม่ชอบอยู่เฉย คนนี้คุยเก่ง ร่าเริง คนนี้รักเพื่อน
ทุกคนมีดีของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป ซึ่งไม่ได้เห็นกันง่ายในชั้นเรียน
แต่เมื่อได้ออกมาทำกิจกรรมด้วยกัน จึงรู้จักมักคุ้น
รู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น ใครจะรู้ว่าจากที่ไม่เคยรู้จักกันกลับสนิทสนมกัน ช่วยเหลือกัน จากคนที่มีเพื่อนน้อย ก็กลับมีเพื่อนมากขึ้น
หลังจากจบโครงการนี้ไป ไม่ใช่แค่นิสิตที่ได้ อาจารย์เองก็ได้ เป็นการเรียนรู้นอกชั้นเรียนที่ให้ประโยชน์ นอกจากนี้ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกศิษย์ ทำให้รู้สึกเหมือนกันว่าเป็นส่วนที่มาเติมเต็มชีวิต ให้มีกำลังใจในการทำงานในวันต่อๆ ไปได้ และเชื่อด้วยว่านิสิตเองก็รู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเพื่อนนิสิตด้วยกัน
การงานครั้งนี้เป็นการทำงานที่เข้มข้น แต่แฝงด้วยความสนุกสนาน รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะที่จะประทับใจตนเองไปอีกนานแสนนาน จนปัจจุบันนิสิตที่ได้ร่วมกันสร้างก็ยังคอยถามข่าวคราวของบ้านดินหรือนำเอาภาพประทับใจในการทำบ้านดินขึ้นเป็นรูปประจำตัวหรือแม้แต่ในหนังสือรุ่น แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจของนิสิตที่มีต่อผลงานที่ทำมากับมือของตนเอง
เป็นตาม่วนคักขนาดเลยน้อครับ อาจารย์
ขอบคุณค่ะ...อ่านด้วยความสุขใจมากๆค่ะ
เป็นบันทึกที่เปิดให้เห็นมุมมองที่กว้างไกลได้มากทีเดียวจ้ะอาจารย์ ขอบคุณจ้ะ
สวัสดีครับ คุณอักขณิช
การงานที่เรารัก มักนำซาความ "มวนซืน" มา "ยาม" หัวใจเสมอ
อ่านเรื่องราวที่อาจารย์รัตนาเขียนแล้ว...
เห็นกระบวนการโโยย่อของการทำงาน
แต่เห็นความเชื่อมโยงของการบริการวิชาการในมิติของอาจารย์และนิสิตสู่ชุมชน
ในแบบบูรณาการ โดยไม่ละเลยที่จะให้ชุมชนมีบทบาทร่วมตั้งแต่ต้น
สิ่งเหล่านั้น คือวิธีการที่ถูกต้องในการจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน...
และความถูกต้องนั้น ก็นำพามาซึ่งความสุข อย่างไม่ต้องสงสัย...
ขอบพระคุณที่แวะมาเยี่ยมยามนะครับ
สวัสดีครับ พี่ใหญ่ นงนาท
พื้นที่ตรงนี้ เป็นที่ตั้งของการงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ลงแรงไว้เช่นกันครับ...
ความสุขที่สัมผัสได้ ไม่ใช่แค่ความสุขในระดับปัจเจก
หากแต่เป็นความสุขในระดับสังคม
ที่แต่ละคนได้ทำเพื่อกันและกัน
แลกเปลี่ยนกันและกันด้วยความเป็นกัลยาณมิตร
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ คุณมะเดื่อ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เป็นบันทึกที่เห็นมุมกว้างมากเลย
มิติของการเรียนการสอนที่ใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การใช้ชุมชนและกิจกรรมเป็นฐานการเรียนรู้
การถ่ายทอดและเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่เน้นการถ่ายทอดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
และที่สำคัญคือ เห็นผลลัพธ์เล็กๆ ที่เป็นรูปธรรม
ที่ยังสามารถสานต่อได้อีก ทั้งในมิติการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการและการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
ขอบคุณครับ
ด้วยร้อยยิ้ม และเสียงหัวเราะมีความสุขไปด้วยค่ะ พี่ดาเพิ่มกำลังให้มากๆอีกด้วยนะคะ
มาขอเป็นลูกศิษย์ด้วยคนค่ะอาจารย์
เริ่มต้นดี ร่วมทำอย่างมีความสุข....ที่ยั่งยืนได้
ขอบคุณเรื่องราวกว้าง - ลึก - เชื่อมโยง หลายมิตินะคะ
น่าสนุกจังค่ะ