ระยะหลังๆ ของการเป็นวิทยากรกระบวนการ ผมมักสร้างคำถามง่ายๆ และเป็นคำถามกว้างๆ ที่ฟังดูไร้อาณาจักรของการสื่อสารกลับมาไม่ได้ จนบางทีผู้เข้าร่วมกระบวนการก็ออกอาการงงอยู่บ่อยๆ เพราะมันกว้างจนไม่รู้จะโฟกัสอะไร
อันที่จริงจะว่าไปแล้ว หากไม่คิดว่าผมเข้าข้างตัวเองมากนัก ผมยังยืนยันว่าคำถามที่ผมสื่อสารไปนั้น มันชัดเจน และเปิดพื้นที่ให้แต่ละคนได้หวนกลับไปท่องอาณาจักรแห่งใจ หรืออาณาจักรแห่งความคิดของตนเองได้อย่างแจ่มชัด มีความเป็นรูปธรรมในมโนทัศน์อย่างไม่ผิดเพี้ยน(อยู่นะ)
และเมื่อสื่อสารกลับมายังผม ผมจะเน้นการสะท้อนกลับอย่างทันทีทันด่วน ถึงแม้จะยังไม่สามารถจัดกระทำสังเคราะห์เป็น “ประเด็น” อย่างเป็น “รูปธรรม” ก็เถอะ ผมก็จะคืนข้อมูลนั้นโดยด่วนจี๋ พอหลังไมค์ค่อยไปสังเคราะห์อีกทีว่าเรื่องราวที่สะท้อนกลับมานั้น มี “อะไร” บ้าง !
BAR : ถามทักก่อนลงเรือ : ประหนึ่งชาวประมงลงเรือไปลากอวนอย่างมีจุดหมาย
กรณีการจัดเวทีการเรียนรู้แก่ผู้นำของสโมสรนิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
ก็เช่นเดียวกัน ด้วยกลุ่มเป้าหมายคือ “นักศึกษา”
หรือ “ผู้นำนักศึกษา” ผมก็นำพาการเรียนรู้ด้วยคำถามในทำนองเดียวกัน คือถามทักถ่ายๆ
ในบางกระบวนการให้แต่ละคนเขียนเป็นบัตรคำ
หากแต่ในบางกระบวนการก็เปิดวงให้แต่ละคนได้ “พูดออกไมค์”
แบบตรงไปตรงมา กล่าว คือ...
เวที BAR (Before Action Review) ซึ่งคณะทำงานไม่ได้จัดเตรียมไว้ ผมจึงอาสาทำ BAR แบบง่ายๆ โดยถามนักศึกษาว่า “อยากได้อะไรจากเวทีวันนี้บ้าง”
แต่เนื่องจากวัสดุอุปกรณ์ยังเดินทางมาไม่ถึง เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา ผมจึงเกริ่นกลับนิสิตว่าจะให้นักศึกษาแต่ละคนพูดออกไมค์โดยตรง แต่ดูเหมือนแต่ละคนยังเขินๆ อายๆ อยู่มากมิใช่ย่อย ผมจึงพลิกสถานการณ์ด้วยการหยิกแซวและเปิดวีดีทัศน์ให้ชมเพื่อเป็นการผ่อนคลาย พร้อมๆ กับการละลายพฤติกรรมทางความคิดผ่านสื่อที่เตรียมมา ครั้นวัสดุอุปกรณ์เดินทางมาถึง จึงหวนกลับเข้าสู่กระบวนการ BAR อีกครั้ง พอแต่ละคนส่งบัตรคำเรียบร้อย ก็ปล่อยให้พักผ่อนด้วยการรับประทานอาหารว่าง
และเมื่อกลับเข้ามายังห้องประชุม ก็เปิดวีดีทัศน์คั่นเวลาให้ดูให้ชมกันพอเป็นพิธี -
ครั้นพอดูเสร็จก็ทักทาย ชวนคิดชวนคุยสั้นๆ เกี่ยวกับ “เรื่องราวในวีดีทัศน์” ที่สุดแล้วจึงคืนข้อมูลอันเป็น BAR ให้นักศึกษาได้รับรู้ร่วมกันว่า “พวกเขาอยากได้อะไรจากเวทีวันนี้บ้าง”
แน่นอนครับ การจับประเด็นต่างๆ ในเวลาอันจำกัดนั้นอาจยังไม่ตกผลึก คมชัดลึกมากนัก แต่ผมความสำคัญอันเป็นหลักคิดที่ผมยึดมั่นถือมั่นสำหรับกระบวนการนี้ก็คือการ “บอกเล่า” ให้แต่ละคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการ “สำรวจความคาดหวังของตนเอง พร้อมๆ กับการปลุกเร้าให้แต่ละคนพยายาม “มีสมาธิ” กับการเรียนรู้ ภายใต้ประเด็นอันเป็นความคาดหวังของตนเองและเพื่อนร่วมเวที
รวมถึงการชี้ประเด็นให้แต่ละคนได้ให้ความร่วมมือกับผม มิใช่ให้ผมสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างโดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียว เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ความคาดหวังเหล่านั้น ย่อมไม่บังเกิดเป็นดอกผลใดๆ เลยก็ว่าได้
และที่สำคัญ ผมจะผูกประเด็นสรุปในสไตล์ฝันๆ ของผมว่า BAR คือการถามทักความคาดหวังของตนเองที่มีต่อการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันสอนให้เราได้รู้ว่าก่อนการลงมือทำสิ่งใดนั้น เราควรมีหมุดหมายเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เหมือนชาวประมงที่แล่นเรือออกจากฝั่งก็ล้วนมีหมุดหมายในเวิ้งน้ำว่าปรารถนาลากอวนให้ได้ปลา มิใช่แล่นเรือออกจากฝั่งโดยไม่รู้เลยว่า “จะไปไหน...ไปทำอะไร...เพื่ออะไร”
สำรวจตัวตน : ค้นหาคุณค่าและมูลค่าตัวเองและองค์กร
ภายหลังการ BAR ผ่านคล้อยไป ผมเห็นได้ชัดว่าแววตาของนักศึกษาดูเปล่งประกาย ฉายชัดถึงหมุดหมายการเรียนรู้ร่วมกันอย่างชัดแจ้ง ถัดจากนั้นผมก็ไม่ลังเลที่จะปรับแต่งกระบวนการใหม่ ไม่รีบร้อนที่จะเข้าสู่ “หัวข้อหลัก” ของการบรรยายเชิงปฏิบัติการนั่นก็คือ “บทบาทหน้าที่ของผู้นำสโมสรนักศึกษารุ่นใหม่กับการจัดกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์” ซึ่งผมชักชวนให้นักศึกษาได้สะท้อนถึงเหตุผลของการก้าวเข้ามาทำกิจกรรม พร้อมๆ กับการสะท้อนถึงศักยภาพของแต่ละคนว่ามีอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์ต่อการนำมาใช้ในความเป็นทีม/องค์กรกันได้บ้าง นั่นคือ
·
ทำไมต้องมาทำกิจกรรม (ทำไมต้องมาเป็นผู้นำ)
·
มีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง
คำถามสองคำถามข้างต้น เป็นคำถามง่ายๆ แต่ก็เปิดกว้างให้แต่ละคนมีอิสระในการขบคิดว่า “ตัวเองทำอะไร เพื่ออะไร หรือแม้แต่มีอะไรที่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการนำมาร่วมสร้างสรรค์องค์กรร่วมกันได้”
และนั่นยังอาจหมายถึง การสื่อสารให้คนอื่นได้รับรู้ว่าเราคิดอะไร และมีอะไรดีพอที่จะนำมาหนุนเสริมกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันได้บ้าง รวมถึงการสื่อสารให้หน่วยงานต้นสังกัดได้เห็นถึง “ต้นทุน” ของทรัพยากรตนเองว่า “มีอะไร มีอะไรแค่ไหน อะไรคือจุดอ่อน อะไรคือจุดแข็ง และอะไรคือสิ่งที่ต้องถอดรหัสไปขยายเป็นแผนในการที่จะพัฒนาบุคลากรของตนเอง”
แต่ที่แน่ๆ คราวนี้ ผมไม่ให้ใช้บัตรคำ หากแต่ให้แต่ละคนพูดผ่านไมค์ เสมือนสร้างสถานการณ์ให้เกิดความกล้า หรือสถานการณ์ให้แต่ละคนได้เผชิญและคลี่คลายผ่านกระบวนยุทธของตนเอง ส่วนผมนั้นนก็พยายามทำหน้าที่เชื่อมร้อย หรือแม้แต่การหยิกแซว สร้างอารมณ์ขันไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้นักศึกษาเกิดความผ่อนคลายในการที่จะ "บอกเล่า" อย่างไม่เขินอาย
ครับ,ผมว่านี่แหละ คือส่วนหนึ่งในการชวนให้แต่ละคนได้ทบทวนตัวเองและแบ่งปันตัวเองสู่สังคม
รวมถึงนี่แหละคือกระบวนการง่ายๆ ผ่านคำถามง่ายๆ ของการค้นหาคุณค่าและมูลค่าของผู้คน ทั้งในมิติเชิงปัจเจกและสังคมแบบเนียนๆ แต่ผู้ที่อยู่ในกระบวนการเรียนรู้ต้องสื่อสารกลับมาอย่างซื่อสัตย์ ไม่บิดเบือนข้อมูล ให้รายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้
ขณะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีหน้าที่กำกับดูแล-พัฒนาศักยภาพของนักศึกษาก็คงต้องให้ความสำคัญกับการ “ถอดรหัส” คำตอบของคำถามง่ายๆ เหล่านั้น ว่าต้องเดินต่อกันอย่างไร ! เพื่อพัฒนาให้นักศึกษาเติบโตอย่างมีศักยภาพ เป็นพลเมืองที่ดี มีจิตอาสาในการรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
แต่สำหรับผมนั้น ผมยังหลงรักกระบวนการผ่านคำถามง่ายๆ และกว้างๆ ของตนเองเสมอ
หมายเหตุ
ในบางกระบวนการจากเวทีกระบวนการเรียนรู้ในหัวข้อ
“บทบาทหน้าที่ของผู้นำสโมสรนักศึกษารุ่นใหม่กับการจัดกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์”
วันที่ 18 พฤษภาคม 2556 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
เป็นกิจกรรมที่ดีมาก ๆ จ้ะ
..... ขอชื่นชมกิจกรรทดีดี นี้ นะคะ ....
ขอบคุณ คุณมะเดื่อ มากครับ
กิจกรรมนี้เป็นเหมือนปฐมนิเทศผู้นำนักศึกษานั่นเอง
พยายามใช้กระบวนการ บันเทิง เริงปัญญา เป็นหัวใจหลักของการเรียนรู้ร่วมกัน
ระยะต้น ผมเน้นการทบทวนตัวเอง และเชื่อมโยงให้แต่ละคนสื่อสารตัวเองสู่ผู้อื่นแบบง่ายๆ ....
พอถึงช่วงบ่ายก็เน้นรูปธรรมเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติการ ...
ขอบคุณครับ
ขอบพระคุณ พี่ Dr. Ple มากครับ
การเข้ามาทำกิจกรรมของนักศึกษาเหล่านี้
คือภาพสะท้อนทุนที่ดีในตัวตนของพวกเขา
นั่นก็คือเรื่องจิตอาสา, จิตสาธารณะ...
ผมสื่อสารในเวทีว่า...
บทบาทและสถานะที่เขาเป็นอยู่นั้น
ไม่ใช่แค่เรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองอย่างเดียว
หากแต่ตองหมายถึงการสร้างกระบวนการพัฒนาเพื่อนๆ น้องๆ พี่ๆ ในต้นสังกัดด้วย
เพราะเขามีสถานะของการเป็น "ผู้นำ" นั่นเอง
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันค่ะอาจารย์
ขอบคุรสำหรับแนวคิดค่ะ ดีมากๆๆค่ะ
กระบวนการน่าสนใจมากครับพี่เอาใช้จะดียิ่ง ยืมเอาไปใช้นะครับพี่ ขอบคุณมากครับ