หลอกหรือไม่หลอก


     จำได้ว่าเมื่อสองปีที่แล้ว มีชายหญิงคู่หนึ่งมาหาข้าพเจ้าที่วัด เวลาประมาณบ่ายหนึ่ง ฝ่ายหญิงนั้นจำได้ว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน  เป็นรุ่นน้อง ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันอย่างไรเลย เพียงแค่รู้จักชื่อรู้จักหน้าเท่านั้น ฝ่ายชายนั้นไม่รู้จัก สองคนนี้จะเป็นสามีภรรยากันหรือไม่ก็ไม่ทราบ มาถามหาข้าพเจ้าที่กุฏิ และแจ้งความประสงค์ว่า อยากให้ทำบุญผ้าไตร จะนำไปทำบุญต่ออีกจังหวัดหนึ่ง เขาบวชกันมาก ประมาณ ๘๐ นาค อยากจะให้ข้าพเจ้าร่วมบริจาคผ้าไตรให้  ข้าพเจ้าก็รับปากว่าจะให้สักสองไตร แต่ที่นี่ไม่มีผ้า ผ้าไตรมีอยู่ที่ศาลาพักศพ คุณตาท่านหนึ่งเป็นคนเก็บรักษากุญแจ เดี๋ยวจะโทรไปบอกให้ ว่าให้เอาผ้าไตรให้คุณโยมทั้งสองด้วยสองไตร จึงบอกบ้านคุณตาคนที่เก็บกุญแจให้ว่าบ้านอยู่ตรงนั้นตรงนี้ เดี๋ยวท่านจะเอาให้ พอสองคนนั้นลับหลังไป ข้าพเจ้าก็โทรไปบอกคุณตานั้น ว่าสองคนนี้มาจากไหน มาอะไร ให้เป็นธุระจัดการเอาผ้าไตรทำบุญไปกับเขาสักสองไตรนะ พอชายหญิงสองคนนี้ไปถึงบ้านคุณตาคนนั้น กลับไปบอกคุณตาคนนั้นว่าข้าพเจ้าให้มาเอาผ้าไตร ๓ ไตร คุณตาก็ไปเปิดศาลาเอาผ้าให้ กำลังจะเอาให้เอง ผู้ชายคนที่มากับผู้หญิงนั้นกลับถือวิสาสะไปเลือกเอาเอง เลือกเอาเฉพาะไตรที่เป็นผ้าเนื้อดี ก็เป็นอันว่าได้ไป ๓ ไตร เขาทั้งสองเอาพรมให้สองผืน พรมนี้ก็ไม่ใช่พรมชนิดดีอะไร คล้ายๆ ผ้าห่ม จะให้หรือไม่ให้ก็ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าผ้าที่ให้ไปนั้น ให้เพื่อทำบุญ  เย็นวันนั้นข้าพเจ้าได้คุยกับคุณตาท่านนั้น ข้าพเจ้าก็ถามว่าได้เอาผ้าไตรให้เขา ๒ ไตรไหม คุณตากลับบอกว่า “ชายหญิงคู่นั้นบอกว่าเพิ่นมหาให้มาเอา ๓ ไตร ผมกำลังจะเอาให้  เขากลับเลือกเอาเองเอาเฉพาะไตรเนื้อดี “ คุณตาบอก  “ ไม่เป็นไรหรอก ให้เขาไปเถอะ ถือเสียว่าทำบุญ” ข้าพเจ้าพูด ก็แล้วกันไป ไม่ได้คิดอะไร


     ต่อมาเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีธุระไปงานศพโยมที่จังหวัดอำนาจเจริญ พอดีต้องไปกับญาติโยมที่อยู่หมู่บ้านนั้น (หมู่บ้านของผู้หญิงคนนั้น)  ก็พอดีตอนไปบังเอิญผ่านหน้าบ้านของผู้หญิงที่เคยมาขอผ้าไตรกับข้าพเจ้า เห็นบ้านเขาเปิดร้านสังฆภัณฑ์ขายผ้าไตร ร้านไม่ค่อยใหญ่ ข้าพเจ้าเห็นแล้วเลยได้คิดเอะใจ มันเป็นอย่างนี้นี้เอง ที่จริงนึกได้ ก็คิดในใจว่าจะพูดให้คนในรถรู้ดีไหม พูดไปเขาจะเสียหายไหม ก็เลยเลียบเคียงถาม “บ้านหลังนี้เปิดร้านขายของพวกนี้นานหรือยัง”  ข้าพเจ้าถาม  “นานแล้วครับ หลายปีแล้ว เมื่อวันก่อนผมก็พาคนมาซื้อจากร้านนี้ ขายถูกด้วย” เขาบอก “อ้าวเหรอ (เอ๋าจั่งซั่นบ่) เพิ่งรู้เด้หนิ ว่าคะเจ้าเปิดร้าน” ข้าพเจ้าก็เลยพูดให้ฟังเลยทีนี้ คนที่นั่งไปด้วยกันอีกคนเป็นผู้หญิง ก็เลยพูดเรื่องทำนองเดียวกันนี้ให้ฟังโดยละเอียด บอกว่าสองสามีภรรยาคู่นี้  ไปซื้อผ้าจากวัดบ้าง ไปขอบ้าง โดยที่ผู้ให้เต็มใจบ้างไม่เต็มใจบ้าง แต่สำหรับผ้าไตรที่เขามาเอาจากข้าพเจ้านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเอาไปทำบุญหรือเขาเอาไว้ขาย อันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ หลายวันต่อมาข้าพเจ้าเลยพูดให้คุณตาคนนั้นฟัง  สุดท้ายจึงถามคุณตาว่า “เราได้บุญ หรือเราถูกเขาหลอก กันแน่ตา” 


คำสำคัญ (Tags): #พระมหาวินัย
หมายเลขบันทึก: 532253เขียนเมื่อ 5 เมษายน 2013 19:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน 2013 19:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

อมิตพุทธ !   สงสัยโยมคงจะหลอกแล้วกระมังคะ
โลกนี้มีอะไรแปลก ๆ นะคะ พระอาจารย์  "คิดได้ยังไงก็ไม่ทราบ"  
คงต้องแผ่เมตตาให้นะคะ

นมัสการพระคุณเจ้า  ของให้ไปโดยจิตอันเป็นกุศล ก็คงเป็นกุศล นะ  หากคิดว่าไม่ใช่ ก็จะเกิดความขุ่นมัวเปล่า ๆ นะเจ้าคะ

ขอบคุณคุณโยมทุกท่าน ทั้งที่ให้กำลังใจด้วยดอกไม้ ทั้งแสดงความเห็น แต่จะถูกหลอกหรือไถูกม่หลอกก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเจตนาก็มุ่งที่จะทำบุญ คิดแค่นั้นใจก็สบายแล้ว ขอให้ทุกท่านมีความสุข

เจตนาที่จะให้ การให้ก็สำเร็จแล้ว บุญก็น่าจะเกิดแล้วกระมังคะพระอาจารย์ และน่าจะคนละส่วนกับการยักยอก ฉ้อฉลของคนอื่นนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท