เมื่อทั้ง 3 โรงเรียนสามัคคีกัน
(โรงเรียนหนองปรือพิทยาคม,โรงเรียนบ้านหนองสาหร่าย, โรงเรียนห้วยหวาย)
ร่วมมือร่วมใจช่วยกันพัฒนาโรงเรียนให้ดีขึ้น โดยเน้นทางด้านคุณธรรมและจริยธรรมก่อนด้านอื่นๆ น่าสนใจไหมคะ?
ชื่อโครงการคือ
โครงการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมและจริยธรรมในโครงการกองทุนการศึกษา จัดอบรมวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.
2555
โดยเริ่มจัดอบรมคุณครูทั้ง 3 โรงเรียนก่อน การอบรบมักมีเป้าหมายเหมือนๆ กัน
คือพัฒนา ยกระดับ อะไรสักอย่างใช่ไหมคะ แต่โครงการนี้ผู้อำนวยการทั้ง 3
โรงเรียนรวมทั้งอาจารย์ขจิตด้วย ถือคติว่า จะต้องทำอย่างจริงจัง ตั้งใจ
และทุ่มเทให้มากที่สุด เพราะงบประมาณทั้งหมด
ทางโรงเรียนได้รับมากจากโครงการกองทุนการศึกษา ซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
ของในหลวง
หนูจำได้ว่าไปถึงโรงเรียนหนองปรือพิทยาคม
(โรงเรียนที่ใช้จัดอบรม) นำโดยท่านผู้อำนวยการสรศักดิ์
ท่านคาดหวังว่าจะพัฒนานักเรียนให้มีเป็นคนมีลำดับการพัฒนาตามลำดับดังนี้ จิตสำนึก จนกลายเป็นจิตใต้สำนึก
และพัฒนาเป็นจิตอาสา จิตสาธารณะ (หนูไม่แน่ใจว่าจำถูกหรือเปล่า เพราะนานแล้ว เฮ้อ
ไม่ยอมเขียนเสียตั้งแต่เนิ่นๆ )
ช่วงที่ 2 ผู้อำนวยการเพยาว์
โรงเรียนห้วยหวาย แนะนำคุณครูเรื่องการทำวิจัยในชั้นเรียน
ประโยชน์ของการทำก็เพื่อแก้ปัญหาการสอนและสามารถนำผลงานแสดงเป็นหลักฐานทางวิชาการได้อีกด้วย
(เอ….ได้จริงหรือเปล่าคะ) ปัญหาที่พบก็คือครูคิดว่าการทำวิจัยยุ่งยาก
เสียเวลา จึงไม่สนใจทำ ใครมีวิธีแก้ปัญหาตรงนี้บ้างไหมคะ?
ช่วงที่ 3 ผู้อำนวยการ
ลาวัลย์ โรงเรียนบ้านหนองสาหร่าย
ให้คุณครูเรียนรู้วิธีการประเมินสมรรถนะของครูและการจัดทำแผนพัฒนาตนเอง
แต่หนูไม่ได้อยู่ฟังเพราะไปดูโรงเห็ดและผักชะอมที่เคยมาปลูกไว้ เห็นผักแล้วรู้สึกไม่สบายใจเพราะชะอมแห้งตายไปหลายต้น
เพราะไม่มีคนรดน้ำ ทำให้หนูนึกถึงคำพูดพี่ใหญ่ที่ว่า
..อยากเห็นเด็กๆลงมือต่อจากนี้เพื่อเพาะเห็ดให้บานจนถึงเก็บมาทำอาหารด้วย..ฝากติดตามผลงานค่ะ..
เพราะปลูกไม่เกิน 1 วัน แต่การดูแลนี่สิ หลายเดือนกว่าจะแข็งแรง ถ้าไม่มีความรัก
ความเพียร อย่างแท้จริง ต้นไม้ก็คงตายหมด น่าจะเหมือนชีวิตคู่หรือเปล่าคะ
ช่วงบ่ายอาจารย์ขจิตนักจัดกิจกรรมมือโปร
อบรมในหัวข้อครูสอนดี หนูสังเกตว่าอาจารย์มีความสุขที่ได้มาร่วมพัฒนา 3
โรงเรียนนี้มาก เข้าใจว่าท่านคงรู้สึกว่าตนเองได้ทำประโยชน์ให้กับบ้านเกิดของท่าน
ใช่ไหมคะอาจารย์
การไปปลูกง่ายกว่าการดูแลให้เจริญเติบโตนะคะ
หนูขอจบเรื่องกิจกรรมทางวิชาการดีกว่า
ยิ่งเขียน ยิ่งงง พาท่านผู้อ่านไม่เข้าใจเสียเปล่าๆ เรื่องที่หนูตั้งใจเขียนคือเรื่องนี้ค่ะ………
“ อาจารย์คะ
แวะซื้อสับปะรดให้ที่คณะจัดงานปีใหม่ที่ไหนหรือคะ”
“
ว่าจะแวะที่ร้านผู้ปกครองเด็กครับ”
“ซื้อสับปะรด 30 หัวครับ”
“จ้าโลละ 10 บาททั้งหมด 700 บาทจ้า”
“หนูขอสับปะรดกวนถุงนึงนะคะอาจารย์”
ขอขนาดนี้มีหรือที่อาจารย์จะไม่อนุญาต
แต่ขณะที่อาจารย์กำลังซื้อสับปะรดหนูเห็นคุณยาย
คนหนึ่งใส่เสื้อคอกระเช้า สีมอๆ จนบอกไม่ได้แล้วว่าเป็นสีอะไร เดินเท้าเปล่า
พร้อมจูงหลานมาอีก 2 คน คุณยายเดินมาหยิบสับปะรดกวน แล้วดึงแบงค์ 20 ยับๆ
ออกมาจากมือที่กำไว้แน่นส่งให้แม่ค้า
แต่คุณยายก็ต้องชะงักเมื่อแม่ค้าบอกว่าสับปะรดกวนถุงละ 60 บาท
หนูเห็นท่านยืนอยู่สักพักแล้วจึงค่อยๆเดินเอาสัปปะรดไปคืนที่เดิม
และบอกหลานว่า มันถุงละ 60 ไม่ใช่ 20 อาจารย์จึงจ่ายเงินให้คุณยาย ท่านยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวเเละกล่าวขอบคุณ
และค่อยๆเดินเท้าเปล่าจากไป
หนูไม่แน่ใจว่าได้ยืนมองภาพนั้นอยู่นานเท่าไหร่ มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ อาจารย์หยิบสับปะรดกวนมาให้ แต่เมื่อมองไปที่ถุงสับปะรดกวน
ภาพนั้นยังติดตาอยู่ไม่หายไปไหน ทำให้หนูไม่คิดที่จะกินมันอีกต่อไป