วันนี้มีคนโทรเข้ามาถามว่า
ที่ตำราบอกให้ดูพิมพ์นั้น คนเขียนตำราเขาพยายามจะบอกว่าอะไร อ่านแล้วไม่เข้าใจ
ดูพระว่าถูกพิมพ์แล้ว เอาไปให้คนอื่นดูก็ยังว่าผิดพิมพ์อีก มันอย่างไรกันแน่
ช่วยอธิบายหน่อย
ผมเลยขอเวลา “แจงสี่เบี้ย”
ให้ฟังเกือบชั่วโมง โดยอ้างอิงทั้งพระเก่าๆ เช่น พระกำแพงซุ้มกอ และพระใหม่ๆ
เช่นพระสมเด็จวัดระฆัง เพื่อให้เข้าใจความเชื่อมโยงของคำว่า “พิมพ์” นั้น
หมายถึงอะไร ควรดูอย่างไร ดังประเด็นย่อยๆ คือ พุทธศิลป์ ศิลปะ หรือฝีมือช่างตระกูลช่างแบบพิมพ์บล็อกและ ตำหนิ
ซึ่งคนที่ดูพระเก่งๆ จะดูปราดเดียวรู้เลยว่าใช่ ไม่ใช่ ที่มีวิธีการพิจารณา ดังนี้
ศิลปะดั้งเดิมของตำนานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
·
ที่มักอ้างอิงและว่าตามต้นกำเนิดของพุทธศาสนา
·
ที่มีปางต่างๆ
ของพระพุทธองค์
·
แต่ละปางจะมีลักษณะรายละเอียด
และองค์ประกอบแวดล้อม ที่ตีความออกมาเป็นศิลปะของการวาด และการปั้น
·
ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถ
ประภามลทล ฉัพพรรณรังสี เครื่องทรง สาวก
สิ่งแวดล้อม ซุ้มโพธิ์
·
ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการศึกษาพระเครื่อง
และพระพุทธรูปทั้งหมด
·
คือลักษณะของศิลปะร่วมสมัย
ร่วมพื้นที่
·
ที่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม
มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกัน
·
แบบคล้ายๆจะเรียนมาจากสำนักเดียวกัน
·
หรือ
มีลักษณะเด่นที่ชัดเจนตรงกัน แม้รายละเอียดจะต่างกันก็ตาม
·
เป็นผลงานที่เกิดจากความสามารถของช่างแต่ละคน
·
ที่จะมีความถนัด
และความสามารถไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน
·
จึงทำให้งานศิลปะที่ได้ออกมาไม่เหมือนกัน
แม้จะพยายามทำในสิ่งที่เข้าใจตรงกันก็ตาม
·
เช่น
พระสมเด็จของแต่ละยุค แม้ในวัดเดียวกัน แม้จะเป็นตระกูลช่าง และยุคศิลปะต้นแบบเดียวกัน
ก็จะต่างกันไปแต่ละรุ่น
·
รูปแบบที่กำหนดไว้
เช่น พระรอดมหาวันมี พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก พิมพ์ต้อ และ พิมพ์ตื้น หรือ
พระผงสุพรรณ ก็มี พิมพ์หน้าแก้ หน้ากลาง หน้าหนุ่ม หรือพระสมเด็จก็มี พิมพ์ใหญ่
พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์เกศบัวตูม พิมพ์ฐานแซม เป็นต้น
·
พิมพ์เหล่านี้จะมีองค์ประกอบของพุทธศิลป์
ศิลปะ และฝีมือช่างแตกต่างกันออกไปอีก
·
ที่ต้องอาศัยการแจกแจง
ทั้งพุทธศิลป์ และต้นแบบของศิลปะดังกล่าวให้ชัด จึงจะแยกแยะ
เข้าใจและจดจำได้โดยง่าย
·
ความแปรปรวนของศิลปะที่เกิดขึ้นจากการสร้างแม่พิมพ์แต่ละแม่ในแบบเดียวกัน
·
ที่มักเกิดจากการทำขึ้นคนละครั้ง
·
ที่จะทำให้มีลักษณะเฉพาะของตัวเองขึ้นมาอีก
·
สิ่งที่เกิดขึ้นในองค์พระแบบไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศิลป์
หรือศิลปะ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นความบังเอิญ อาจจะมีความตั้งใจของช่างบ้างในบางกรณี
·
ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละบล็อก
หรือแม่พิมพ์ย่อย
·
แต่ถ้ามีการใช้พ่อพิมพ์
หรือแม่พิมพ์ตั้งต้นเดียวกัน ก็อาจจะมีตำหนิคล้ายๆกัน ปรากฏอยู่ในทุกแบบพิมพ์ย่อยๆ
ที่ทำต่อจากแม่พิมพ์เดิม
นี่ก็คือวิธีการดู “พิมพ์”
ที่มีรายละเอียดที่ต้องรู้ และเข้าใจมากพอสมควร ที่จะสามารถ “ดูพิมพ์” ให้ออก
ที่เหมาะกับคนที่มีความชำนาญมาก ประสบการณ์สูง
แต่สำหรับใครที่ต้องการเรียนรู้เร็วกว่านั้น
ผมขอแนะนำให้ไปหัดดู “เนื้อ” และวิวัฒนาการของเนื้อก่อน
ที่จะเหมือนๆกันในแต่ละประเภทของเนื้อ จะต่างก็เฉพาะรายละเอียด
ที่ไม่ใช่ประเด็นใหญ่มากนัก
“ดูเนื้อให้ขาด แล้วค่อยไปดูพิมพ์ประกอบ” ที่ผมพบว่าง่ายกว่าดูพิมพ์ให้ขาด เพราะต้องเข้าใจทั้ง พุทธศิลป์
ศิลปะ หรือฝีมือช่างตระกูลช่างแบบพิมพ์บล็อกและ ตำหนิ ที่มีรายละเอียดมาก
และยากสำหรับคนที่ขาดความสามารถในการจับประเด็นทางศิลปะ
แต่ใครที่จับประเด็นทางศิลปะได้เร็ว
ก็อาจจะเริ่มจากการดูพิมพ์ได้
แต่อย่าลืมนะครับ
ช่างโรงงานพระเก๊ เขา “เลียนแบบพิมพ์” ได้เร็ว ง่าย และ ใกล้เคียงของแท้ กว่าการ “เลียนแบบเนื้อ” นะครับ
ผมเรียนมาอย่างนี้
จึงมั่นใจ และขอแนะนำผู้ต้องการเรียนอย่างนี้ครับ
รบกวนด้วยครับ
รบกวนอะไรครับ งงงงง อิอิอิอิ
อาจารย์ครับผมจะขอเมล์อาจารย์ได้มั้ยครับพอดีผมลงรูปไม่ได้ผมอยากรบกวนให้อาจารย์ชี้แนะพระสมเด็จที่ผมมีอยู่หน่อยครับ
ลองไปอ่านดูสงสัยแล้วโทรมาถามก็ได้ครับ ถ้าผมบอกเฉยๆ จะไม่เข้าใจนะครับ