ตึกกรอสส์


ตึกกรอสส์

ตึกกรอสส์

 

                ความตื่นเต้นของเธอฉายออกมาอย่างชัดเจนทั้งดวงตาและท่าทาง  ขณะที่ผลักบังตาเข้าไปอย่างร้อนรน  “เจษ—” เธอพูดเสียงเร็วปรื๋อ “วิทยามาแล้ว”

                นักเรียนแพทย์ผู้นั้นเงยหน้าขึ้นจากกล้องจุลทรรศน์อย่างรวดเร็ว “อะไรนะต้อย?” เมื่อหญิงสาวทวนประโยคนั้น เจษฎางค์กระโดดขึ้นยืนอย่างลืมตัว แต่ชั่วขณะที่เขามองใบหน้าของผู้ที่เขาเรียกว่าต้อยอย่างเต็มตา เห็นใบหน้าซึ่งเผือดและซีดขาวราวกับเสื้อกาวน์ที่เธอสวมอยู่ เห็นริมฝีปากที่สั่นระริก และเห็นขอบตาที่แดงช้ำ ประกายปีติของเขาก็วูบลงเหมือนดาวที่หล่นจากท้องฟ้า เสียงเครือไปด้วยสำนึกในท่าทีนั้น “วิทยามาแล้ว ทำไมหรือ?”

                เสียงของหญิงสาวเกือบจะเป็นเสียงสะอื้น ขณะที่เธอตอบ “ป่วยหนักอยู่ที่ตึกอายุรกรรม – อยากพบเจษเดี๋ยวนี้ ฉันตามหาเธอตั้งนาน ไปซิ”

                เจษฎางค์เม้มริมฝีปาก เขาดึงสไลด์ออกจากล้องและเก็บเข้าที่อย่างรีบร้อน ปิดหนังสือเล่มขนาดยักษ์ที่กางอยู่ตรงหน้าและผลักไปรวมกันอยู่ทางหนึ่ง เลื่อนกล้องเข้าไปในหีบไม้เบอร์ ๔ แล้วก้าวตามหญิงสาวออกมาติดๆ

                “เป็นอะไรนะ, ต้อย?”

                “Pulmonary embolism” หญิงสาวตอบเสียงเกือบไม่ได้ยิน

                เจษฎางค์ขบกรามจนโปนออกมาเห็นชัด เขาก้าวเท้าถี่ๆ ตามหญิงสาวซึ่งเดินเกือบจะเป็นวิ่งไปตามถนนปูน “ใครเป็นเจ้าของไข้?”

                “ฉันเอง” หญิงสาวหันมาแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างเหน็ดเหนื่อย “แต่อย่าเพิ่งถามเลย, เจษ, ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

                แสงแดดในยามเย็นทอดเงาของนักเรียนแพทย์ทั้งสองนั้นทาบติดอยู่กับพื้นถนน และไหวไปมาไม่หยุดหย่อน นักเรียนพยาบาลสองสามคนเดินสวนมาชำเลืองอาการรีบร้อนนั้นอย่างประหลาดใจ

                เมื่อเขาเลี้ยวและก้าวขึ้นไปบนบันไดตึกด้านใต้ของตึกอายุรกรรม  ความเงียบแผ่ซ่านบริเวณตึกนั้นจนสะดุดใจ  กลิ่นอายของอีเทอร์ล่องลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง  ขณะที่พยาบาลในชุดสีขาวบริสุทธิ์กำลังแจกยาหลังอาหารแก่คนไข้อย่างเงียบๆ เจษฎางค์หันมาทางหญิงสาว  ถามด้วยเสียงหอบ  “ไหน?”

                หญิงสาวชี้ไปยังเตียงหนึ่งซึ่งกั้นม่านไว้อย่างมิดชิด  และโดยไม่พูดจนคำเดียวเธอสาวเท้าไปยังที่นั่น  เปิดม่านสีขาวนั้นออก  “นั่นอย่างไร”  จบคำพูดนั้นน้ำตาเธอไหลพราก  “นั่นอย่างไรวิทยา”  เธอพูดซ้ำคล้ายคนไร้สติ

                เจษฎางค์เบือนหน้าไปจากภาพที่เห็นนั้นอย่างสลดใจ  ร่างนั้นดำเกรียมจนเกือบจะเหมือนต้นไม้ที่ถูกสุม  ผอมจนเกือบจะไม่มีหนังพอที่จะหุ้มกระดูก  เส้นเอ็นปรากฏที่นั่นและที่นี่เหมือนขดเชือก  ผมยาวเป็นกระเซิง  เช่นเดียวกับหนวดเคราซึ่งปล่อยไว้รุงรังและสกปรก  วิทยาอยู่ในเสื้อและกางเกงสีขาวเนื้อหยาบๆ ของโรงพยาบาลเหมือนกับคนไข้อนาถาทั้งหลาย  นอกจากอาการหายใจหอบอย่างน่ากลัวของเขานั้นแล้ว  ไม่มีเครื่องหมายอันใดเลยว่าเขายังมีชีวิตอยู่

                พยาบาลผู้หนึ่งก้าวมาหยุดอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ  เธอมองดูคนไข้และหันมาทางนักเรียนแพทย์สาว  กล่าวขึ้นด้วยสำเนียงสุภาพ  “หลับค่ะ  ดิฉันฉีดมอร์เฟียให้แกเมื่อครู่นี้เอง  คุณหมอชัยสั่งไว้”

                หญิงสาวพยักหน้าและเบือนออกไปนอกหน้าต่าง  เจษฎางค์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าเตียงนั้น  เขามองดูคนไข้อย่างสมเพช  เป็นนานเขาจึงหันมาทางหญิงสาว  และถามด้วยสำเนียงต่ำๆ และแผ่วเบา

                “วิทยามาถึงที่นี่เมื่อไร?”

                “บ่ายสามโมง” เธอตอบ

                “ใครเป็นคนพามา?”

                “คนเรือโยงสองคนจ้ะ, เจษ  วิทยาโดยสารเขามาจากปากน้ำโพ  ป่วยหนักมาแต่ที่นั่น  เมื่อเขาเห็นฉัน  เขาดีใจมากเหลือเกิน  เขาจับมือฉันไว้และบีบแน่นขณะที่บอกว่า เท่านี้ก็พอแล้วสำหรับบั้นท้ายแห่งชีวิตของพี่  เพียงแต่ได้แลเห็นต้อย  เห็นศิริราช  และหากเจษอีกคนหนึ่ง -- เขายังอยู่มิใช่หรือ – พี่คงตายอย่างเป็นสุข” น้ำตาของหญิงสาวไหลพราก  เมื่อเธอกล่าวประโยคต่อไป  “วิทยาหายใจหอบอย่างน่ากลัวเหลือเกิน  กระนั้นยังอุตส่าห์ถามฉันว่า เคยคิดถึงเขาบ้างไหม?”

                เจษฎางค์นิ่งงัน  ขณะที่หญิงสาวก้าวมาใกล้เขาและกระซิบเสียงสั่นสะท้าน  “และเดี๋ยวนี้  ต่อปัญหาที่ว่าทำไมวิทยาจึงหายหน้าจากเราไปหลังจากคืนวันนั้นบนตึกกรอสส์  ก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว  เจษดูนี่ซิ  วิทยาเป็นคนมอบให้ฉันเองเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว  วิทยาพบกระดาษแผ่นนี้คั่นอยู่ในหนังสือของคุณอาของเขา, พระยาอรรถธรรมธาดา  เธอยังจำได้มิใช่หรือ  ก่อนหน้าที่เขาจะจากเราไปวันหนึ่ง  เมื่อสามปีที่แล้ว?”

                เจษฎางค์รับกระดาษสีเทานั้นจากหญิงสาวและคลี่อ่านอย่างลุกลน  เมื่ออ่านจบเขาถอนสายตาขึ้นและทอดออกไปนอกหน้าต่างอย่างเฉยเมย  ใบไม้สีเขียวขจีสองสามใบหล่นลงมาจากกิ่งและระไปตามรั้วสังกะสีซึ่งกั้นเขตโรงพยาบาลออกจากบริเวณภายนอก  ซึ่งบางครั้งมีเสียงนกร้องจากต้นไม้ครึ้มนั้น  เมฆฝนแห่งต้นเดือนสิงหาคมปรากฏขึ้นรางๆ ที่ขอบฟ้า  ขณะที่สีแสดแกมทองของฟ้ากำลังเปลี่ยนไปเป็นสีของกลางคืน  ความเงียบแผ่มนต์มหัศจรรย์ไปแทรกแซงอยู่กับบรรยากาศเหนือตึกอายุรกรรม  มันวังเวงอย่างประหลาด จนครั้งหนึ่งเจษฎางค์ต้องหันมาจ้องดูคนไข้ซึ่งนอนแบบอยู่บนเตียงอย่างไม่แน่ใจ

                ลมหอบกลิ่นเหม็นอย่างฉุนเฉียวของเนื้อที่ถูกชำแหละออกจากศพซึ่งนักเรียนแพทย์ใช้เรียนในแล็บกรอสส์และถูกเผาอยู่ในเตาหลังตึกกรอสส์นั้นมาวูบหนึ่ง  เจษฎางค์ลุกขึ้นยืนอย่างอิดโรย  ตึกกรอสส์...อนิจจา...วิทยากับคืนวันหนึ่งที่ตึกกรอสส์ – คืนที่เจษฎางค์คิดว่าเขาจะลืมไม่ได้จนชั่วชีวิต

                เมื่อสามปีก่อน  วิทยาเป็นนักเรียนแพทย์ซึ่งข้ามฟากมาพร้อมๆ กับเจษฎางค์และต้อย  เขาเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ตั้งแต่เตรียมอุดมฯ ตั้งแต่ที่จุฬา  กระนั้นวิทยายังขะมักเขม้นเป็นพิเศษเมื่อข้ามมาเรียนที่ศิริราช  ทุกวิชา, ทุกห้องที่ตึกกรอสส์,  โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องชำแหละศพ,  เป็นห้องที่วิทยาหลงใหลอย่างยิ่ง  วิทยามีวิธีการใช้ dissecting needle และ forceps ได้ประณีตจนใครๆ มหัศจรรย์  ศพที่โต๊ะเบอร์ ๑๑ ของเขา  ซึ่งมีต้อย  เจษฎางค์ และเพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นเจ้าของ  มักจะมีนักเรียนแพทย์อื่นๆ มามุงอยู่เสมอ  และบ่อยๆ ครั้งที่อาจารย์ใช้เป็น sample เพราะนอกจาก nerve และ blood vessels ทุกชิ้นจะปรากฏอยู่อย่างชัดเจนด้วยฝีมือของวิทยาแล้ว  ศพนั้นยังใหญ่โตเป็นพิเศษ  ที่บอร์ดซึ่งติดประจำศพในห้องชำแหละนั้น  ปรากฏว่าเจ้าของศพนั้นเป็นนักโทษชื่อแจ้ง  ชัยงาม  ตายด้วยโรคมาลาเรียและอุทิศศพของตนให้โรงพยาบาลด้วยสมัครใจ         

                ทั้งอาจารย์และนักเรียนแพทย์ทั้งหลายพากันหวังว่า  ในอนาคตอันใกล้  ศิริราชพยาบาลจะได้นายแพทย์ที่ดีไว้ใช้อีกคนหนึ่ง  หลายคนเชื่อว่าวิทยาจะต้องได้ไปเรียนต่อต่างประเทศและทุกคนเชื่อว่าวิทยาจะต้องได้เหรียญทอง  แต่ท่ามกลางความหวังเหล่านี้  วิทยาได้สร้างความมหัศจรรย์แก่ตัวของเขาเองในคืนหนึ่งภายในความมืดทะมึนของตึกกรอสส์  และในระหว่างความประหลาดใจอันใหญ่หลวงนั้น  วิทยาหายไปจากมหาวิทยาลัยอย่างเงียบเชียบ  ไม่มีใครรู้ว่าวิทยาอยู่ที่ไหน  แม้แต่เพื่อนรักของเขาอย่างเจษฎางค์  แม้แต่คนรักของเขาอย่างต้อย  และแม้แต่คุณอาผู้ที่เลี้ยงเขามาแต่เล็กๆ อย่างพระอรรถธรรมธาดา...กระทั่งบัดนี้ – บัดนี้— ขณะที่เขาใกล้จะตายอยู่แล้ว

                เจษฎางค์จำได้อย่างติดตา  คืนนั้น...เดือนกระจ่างฟ้า  ละลอกเล็กๆ ในลำแม่น้ำเจ้าพระยาเต้นพรายคล้ายอาบด้วยเงินยวง  ขณะที่เรือแจวลำหนึ่งพุ่งหัวออกจากท่าศิริราช  แม้เวลาจะเลยสามทุ่มไปนานแล้วก็ตาม  แต่พวกนักเรียนแพทย์ปี ๑ กรุ๊ปบี ก็เพิ่งจะออกจากแล็บกรอสส์เดี๋ยวนี้เอง  ระหว่างนั้นเป็นระยะเวลาระหว่างสงคราม  การที่มหาวิทยาลัยต้องยืดกำหนดเปิดภาคช้าไปกว่าปรกติทำให้ต้องเพิ่มเวลาเรียนกันให้มากขึ้นไปอีกจากเดิม  ดังนั้น  ทั้งแล็บphysiology หรือแล็บกรอสส์ในบางวันของสัปดาห์จึงต้องใช้เวลากลางคืนเช่นนี้ด้วย  และด้วยจำนวนนักเรียนแพทย์ที่ข้ามมาล้นหลามผิดปรกติในปีนั้น  จึงทำให้นักเรียนแพทย์ปีที่ ๑ เกือบทั้งหมดไม่มีหออยู่  ในเรือแจวลำนี้จึงเต็มไปด้วยนักเรียนแพทย์ทั้งหญิงและชาย  ซึ่งเพิ่งลงจากตึกกรอสส์เมื่อครู่  แต่อย่างไรในเรือลำนั้นไม่มีวิทยารวมอยู่ด้วย  เพราะเขาไม่ได้มามหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้า  หลายคนแปลกใจ  เพราะวิทยาไม่เคยขาดเรียนแม้แต่วันเดียว  ตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่ ๑ – และที่ ๒ ซึ่งกำลังดำเนินอยู่นี้  ต้อยขรึมกว่าทุกๆ วัน  เธอนั่งเงียบเชียบอยู่กับเจษฎางค์ที่หัวเรือนั้น  กระทั่งเมื่อเรือเทียบท่าพระจันทร์  ซึ่งที่นี่เองเขาทั้งสองต้องร้องอย่างสนเท่ห์เมื่อเห็นวิทยายืนอยู่ที่โป๊ะนั้น  จากแสงไฟซึ่งพรางไว้อย่างสลัว  หญิงสาวสังเกตเห็นใบหน้าอันฉายแววตระหนกของเขาได้อย่างชัดเจน  วิทยาแต่งกายลวกๆ ชายเสื้อข้างหนึ่งยังแลบออกมาจากกางเกง  ผมยุ่งเหยิงเหมือนไม่เคยได้พบกับแปรง  เธอถามเขาทันทีที่ก้าวขึ้นจากเรือ  “วิทยา, ทำไมไม่มาเรียนหนังสือ?”

                วิทยาไม่ตอบ  แต่ถามสวนขึ้นอย่างลุกลน “แล็บกรอสส์ปิดหรือยังจ๊ะ, ต้อย?”

                ต้อยดูเขาอย่างไม่เข้าใจ  “กำลังปิด  ทำไมหรือ?”

                วิทยาก้าวพรวดลงไปในเรือ  หน้าของเขาเครียดขณะที่บอกเจษฎางค์ว่า  “เจษ, อย่าเพิ่งขึ้น  ไปตึกกรอสส์กับกันเดี๋ยว”

                ตึกกรอสส์,  ตึกแห่งเดียวในประเทศไทยซึ่งสะสมศพดองไว้เป็นจำนวนสิบในโรงมหึมาราวกับฮวงซุ้ยของจอมจักรพรรดิโบราณแห่งไอยคุปต์  ตึกซึ่งซากและอวัยวะเฉพาะส่วนของมนุษย์นับเป็นจำนวนร้อยพันชิ้นถูกเก็บไว้ในสภาพเดิมในโลงที่เปี่ยมด้วยน้ำยา  และตึกซึ่งระเกะระกะด้วยกระดูกและกะโหลกมนุษย์นั้น  ยืนทะมึนขาวพร่าอยู่ท่ามกลางแสดงอร่ามของดวงจันทร์  ขณะที่เสียงครางเบาๆ ของคนไข้และกลิ่นจางๆ ของอีเทอร์ที่ถูกลมพัดหอบมาแต่ตึกศัลยกรรมทำให้บรรยากาศตึงเครียดลงไปอีก

                วิทยาวิ่งขึ้นบันไดตึกอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นแสงไฟในห้องชำแหละศพวูบลง  “เร็วหน่อย, เจษ”  เขาตะโกน  “เดี๋ยวคนงานจะปิดห้องเสีย”  อย่างไรทั้งวิทยาและเจษฎางค์มาถึงห้องชำแหละศพพอดีขณะที่คนงานกำลังจะใส่กุญแจห้อง  “ประเดี๋ยว”  วิทยาร้อง  “ขอเข้าไปสักครู่เถอะ  มีธุระ”

                เจษฎางค์ก้าวตามวิทยาเข้าไปติดๆ  ทั้งๆ ที่เคยเข้าห้องนี้มาจนนับครั้งไม่ถ้วน  เขาก็อดสะท้านใจไม่ได้  กลิ่นน้ำยาอาบศพล่องลอยอยู่อับๆ  แสงเดือนที่ฉายลอดบานกระจกเข้ามาส่องให้เห็นเงาตะคุ่มของศพซึ่งคลุมด้วยผ้าอาบยาไว้บนโต๊ะชำแหละเป็นแถวยาวยืด  โครงกระดูกที่ประกอบไว้ยืนจังก้าขาวโพลนอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวๆ นั้นคล้ายจะหลอกหลอน  แต่วิทยาไม่เอาใจใส่สิ่งเหล่านี้แต่อย่างใดเลย  เขาก้าวเท้าไปที่โต๊ะชำแหละเบอร์ ๑๑  ของเขาอย่างเร่งร้อน  เปิดไฟเหนือศพนั้นขึ้น  และด้วยอาการอันลุกลน  เขาดึงผ้าคลุมศพผืนใหญ่นั้นออกอย่างแรง  คายผ้าอาบยาที่พันหน้าและศีรษะนั้นออกอย่างรวดเร็ว  ยกหัวศพนั้นขึ้น  พยายามพลิกกระทั่งศพนั้นคว่ำหน้าลง

                ด้วยอาการของคนบ้า  วิทยาดึงดวงไฟลงมาจนชิดท้ายทอยของศพ  และก้มลงจ้องดูอย่างพินิจพิเคราะห์  ไฝสามเม็ดซึ่งเรียงอยู่เป็นแถวที่ท้ายทอยอันมีผมเกรียนของศพนั้นปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน  วิทยาร้องเสียงแหลมคล้ายสัตว์ที่เจ็บปวด  เขาล้มลงอย่างแรงหัวฟาดโต๊ะชำแหละตัวซึ่งอยู่ติดๆ กันนั้นเสียงสนั่น  มันก้องไปในความเงียบและสะท้อนกลับมา  เสียงกึงกังเหมือนจะหลอน

                นั้นเองคือคืนอวสานแห่งชีวิตนักเรียนแพทย์ของวิทยา  ไม่มีใครพบเขาที่มหาวิทยาลัยอีกนับแต่วันนั้น  เขาหายไปจากมหาวิทยาลัยและเตลิดไปจากบ้านคล้ายกับจะหลีกลี้ต่อทวารปรภพ  ไม่มีใครทราบว่าทำไมวิทยาไปที่ตึกกรอสส์ในคืนนั้น  ไม่มีใครทราบว่าทำไมวิทยาจึงต้องหายหน้าไปจากมหาวิทยาลัยและเตลิดไปจากบ้าน  ไม่ยอมให้ใครเห็นหน้าแม้แต่คนที่เขารักอย่างสุดสวาทขาดใจเช่นต้อย  ทุกอย่างยังคงเป็นเรื่องลี้ลับ  กระทั่งสองปีต่อมา – ขณะที่เพื่อนและคนรักของเขาเป็นนักเรียนแพทย์ปีที่ ๓,  ขณะที่เขากำลังจะตายเช่นในขณะนี้เอง – เขากลับมาศิริราชอีกครั้งหนึ่งด้วยหวังจะเห็นคนที่เขารักเป็นครั้งสุดท้าย  และในวินาทีเหล่านี้เอง  ความลับเหล่านั้นคลี่คลายออกด้วยเพียงกระดาษชิ้นเล็กๆ ชิ้นเดียวที่เขาส่งให้หญิงที่เขารักด้วยสมัครใจ

                เสียงพูดปนเสียงหอบดังขึ้นจากเตียง  “เจษ, นั่นแกหรือ?”

-----------------------------

                ในห้องเล็กเชอร์ซึ่งถูกใช้เป็นห้องประชุมคราวนั้นเงียบกริบเหมือนโบสถ์ร้าง  เฟรชชี่ทั้งหญิงและชายซึ่งนั่งติดกันและซ้อนเป็นแถวยาวยืดตัวตั้งตรงและดูเหมือนเกือบจะไม่หายใจ  บรรยากาศเหนือสถานที่ประชุมนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์  มันเป็นครั้งแรกในปีนั้นที่มีการประชุมเฟรชชี่ซึ่งเพิ่งข้ามฟากมาจากจุฬาฯ  ทุกสิ่งที่เขาทั้งหลายได้เห็นและได้ฟังเป็นสิ่งใหม่ซึ่งให้ความตื่นเต้นมากเหลือเกิน  ซีเนียร์ซึ่งสวมเสื้อกาวน์สีขาวบริสุทธิ์  และยืนเรียงรายอยู่ที่ผนังห้องประชุมด้วยอิริยาบถต่างๆ กันนั้น  ทำให้เขาพากันคิดถึงบาทหลวงในโบสถ์วินเชสเตอร์  ขณะที่มีงานราชพิธีอันโอ่อ่า

                หลังโต๊ะเล็กเชอร์และเบื้องหน้ากระดานดำแผ่นใหญ่นั้น  หัวหน้านักเรียนแพทย์ยืนตระหง่านอยู่  เขากำลังพูดด้วยเสียงที่มีจังหวะจะโคนและดื่มด่ำเข้าไปในความรู้สึกของผู้ฟังอย่างประหลาด  แววตาของเขาฉายแสงกล้าขณะที่ย้ำถึง seniority, unity, order และ spirit ซึ่งเป็น tradition ของมหาวิทยาลัย  เขาพูดถึงคณบดี  คณาจารย์ และนายแพทย์ทั้งหลาย  ซึ่งดำรงตำแหน่งต่างๆ ในโรงพยาบาล,  พูดถึงงานต้อนรับน้องใหม่  ซึ่งจะมีขึ้นต่อไปในต้นเดือนหน้า  และที่สุด  หัวหน้านักเรียนแพทย์แนะนำให้เฟรชชี่รู้จักกับประธานแผนกต่างๆ ของมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์  ซึ่งแต่งตั้งขึ้นจากซีเนียร์และยืนอยู่ในที่นั้น

                เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อมีการขานชื่อประธานแผนกแต่ละคน  สายตาทุกคู่เบนจากที่นั้นมาสู่ที่นี้  แล้วแต่ว่าประธานแผนกนั้นจะยืนอยู่ ณ ที่ใด  ทุกครั้งเขาได้รับการก้มศีรษะและยิ้มให้อย่างบริสุทธิ์ใจ  และเสียงปรบมือที่ยืดยาวและกึกก้องที่สุดในวันนั้นดังขึ้นเมื่อหัวหน้าขานชื่อวรนาถ  เวชการพิทักษ์,  หัวหน้านักเรียนแพทย์ฝ่ายหญิง  เฟรชชี่เหล่านั้นพากันคิดว่าเขาจำผู้ที่กล่าวนามหลังนี้ได้ดีกว่าใครๆ เพราะว่าเจ้าของร่างแบบบางและมีใบหน้าหวานผุดผ่องนั้นมีประกายตาเศร้าอยู่เป็นนิจ  แม้ในขณะที่ก้มศีรษะให้อย่างแช่มช้อยและพยายามยิ้มให้อย่างอ่อนหวานก็ตาม

                การเลือกหัวหน้านักเรียนปี ๑ ได้เริ่มขึ้นภายหลังนั้นและเมื่อมันสุดสิ้นเรียบร้อยไป  การประชุมก็มีท่าทีจะยุติลงหัวหน้ากำลังกล่าวปิดประชุมอย่างเพราะพริ้ง  แต่ในวินาทีซึ่งนักเรียนแพทย์ทั้งหลายคาดกันว่าจะได้ฟังคำตอบสุดท้ายจากผู้กล่าวปิดประชุมนั้นเอง  เขาพบว่าคำนั้นขาดไปจากริมฝีปากของผู้พูดเฉยๆ  หัวหน้านักเรียนแพทย์หยุดพูดโดยกะทันหันและเปลี่ยนสำเนียงใหม่อย่างร้อนรน

                “ประทานโทษ...ขอเวลาผมอีกสักครู่  ช่วยบอกผมหน่อยว่า  ใครเป็นเจ้าของศพโต๊ะที่ ๑๑ ในห้องชำแหละ?”

                อย่างประหลาดใจ  เสียงซุบซิบดังขึ้นในห้องนั้นคล้ายเสียงลมครางขณะพัดไปตามกิ่งลู่ของต้นไม้  และอย่างเงียบๆ  นักเรียนแพทย์ปีที่ ๑ สี่คนยืนขึ้นจากที่นั่ง  ใครคนหนึ่งในจำนวนนั้นแนะนำเขาเหล่านั้นให้หัวหน้ารู้จัก

                ร่างตระหง่านซึ่งสวมเสื้อกาวน์ขาวโพลนอยู่หน้ากระดานดำแผ่นนั้นนิ่งอึ้ง  สายตากวาดลงต่ำ – มันมีประกายหมอง  บรรยากาศเคร่งเครียดไปโดยฉับพลัน  เสียงหวูดเรือจากลำแม่น้ำเจ้าพระยาดังครวญครางเสียงแหลม  ขณะที่ลมฝนพัดมาปะทะแผ่นกระจกที่หน้าต่างดังอู้ไม่ขาดระยะ  และท่ามกลางความเงียบงันคล้ายถูกมนต์สะกดนี้เอง  วรนาถก้าวเท้าเดินออกจากห้องนั้นอย่างแช่มช้า  แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหม่นหมองและรันทด  ฝีเท้าของเธอดังไกลออกไปทุกทีๆ  และเงียบหายไปในที่สุด

                หัวหน้านักเรียนแพทย์เม้มริมฝีปาก  ขณะที่จ้องดูนักเรียนแพทย์ปีที่ ๑ ทั้งสี่นั้นเขม็ง  เขาเริ่มพูดต่อไป  แต่ครั้งนี้เขารู้สึกแต่เพียงได้ยินเสียงของเขาล่องลอยมาจากที่ใดที่หนึ่งไกลเหลือเกินจากที่เขายืนอยู่นั้น

                “ผมอยากจะขอร้องให้คุณใส่ใจเป็นพิเศษสำหรับศพนั้น  โดยปรกติเราก็ถือกันอยู่แล้วว่า  ศพที่ใช้ชำแหละในแล็บกรอสส์นั้นมีค่าเท่ากับครูของเราเอง  และดังที่คุณเคยทราบ  เราย่อมไม่แสดงกิริยาใดซึ่งแสดงถึงการดูถูกดูแคลน  ล้อเลียน  หรือแสดงท่าทีอันน่าบัดสีต่อศพนั้น  หลายศพอาจจะได้มาจากศพที่ไม่มีญาติ  แต่หลายศพเราได้มาจากความสมัครใจของผู้ที่เป็นศพนั้นเอง”  กรามของผู้พูดโปนขึ้นมาจนเห็นชัด “ด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะอุทิศร่างของตนให้เป็นบริการของสาธารณะและโดยเฉพาะโต๊ะ ๑๑ –”  เสียงของเขาสะท้านไปด้วยความทรงจำ  “ผมอยากจะบอกให้คุณทราบด้วยตัวผมเองว่า  เราถือเป็นโต๊ะศักดิ์สิทธิ์...ตั้งแต่นานมาแล้วกระทั่งปีนี้,  ทราบไว้ด้วยว่าศพโต๊ะ ๑๑  นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักเรียนแพทย์เช่นเดียวกับคุณ – นักเรียนแพทย์ที่รู้จักวิธีใช้ dissecting needle และ forceps กระทั่งเป็นที่เลื่องลือในรุ่นผมนั้น – เขาต้องออกจากการเป็นนักเรียนแพทย์ด้วย –” เสียงชะงัก “ด้วยอุปัทวเหตุ  และเป็นนักเรียนแพทย์ที่ทำพินัยกรรมมอบศพตัวของเขาเองให้แก่ตึกกรอสส์...”

                เมื่อการประชุมได้สิ้นสุดลง  หัวหน้านักเรียนแพทย์ก้าวเท้าลงจากตึก pathology และอย่างเงียบๆ  เขาเดินก้มศีรษะอย่างจะใช้ความคิดไปตามถนนปูนเล็กๆ  วันคืนอาจจะผ่านไปแต่เขาคิดว่าเขาไม่อาจจะลืมเสียงของวิทยาที่ร้องอย่างเจ็บปวดในความมืดของห้องชำแหละศพเมื่อสามปีก่อน,  ไม่อาจลืมร่างอันดำเกรียมซึ่งปราศจากลมหายใจบนตึกอายุรกรรมและการหลั่งน้ำตาอย่างจะเป็นสายเลือดของต้อยเมื่อหกเดือนที่แล้วมาได้เลย  เขาเหลือบมองดูตึกกรอสส์แวบหนึ่งขณะที่จะเลี้ยวผ่านหน้าหอนักเรียนแพทย์หญิง   และเม้มริมฝีปาก  ที่นี่เองซิ  เป็นที่ซึ่งครั้งหนึ่ง – ด้วยกาลและอาจจะตลอดไปด้วยความทรงจำ – เป็นที่ซึ่งบันทึกความรักของมนุษย์อันจะพึงให้และแสดงออกต่อกันได้ด้วยรูปแตกต่างออกไปอีกแบบหนึ่ง  มือเขาเย็นเฉียบเมื่อคิด

                ขณะที่เขาก้าวขึ้นบันไดตึกอำนวยการ  วรนาถก็ก้าวเข้ามา  ขอบตายังแดงช้ำเห็นถนัด  เธอดึงชายเสื้อของเขาและพูดอย่างเหน็ดเหนื่อยว่า  “เธอบอกเรื่องอะไรของวิทยาแก่เด็กใหม่เหล่านั้นหรือ, เจษ?”

                หัวหน้านักเรียนแพทย์สั่นศีรษะ  “ฉันบอกเขาเพียงให้ใส่ใจในศพเท่านั้นเอง”  เขาหยุดและมองวรนาถอย่างเต็มที่  “เธอคิดว่าฉันเล่าเรื่องกระดาษสีเทาแผ่นนั้นแก่พวกเขาหรือ, ต้อย  ฉันจะบอกเขาได้อย่างไรเมื่อค่าของกระดาษแผ่นนั้นมันหมายถึงความหลังของชีวิตหนึ่ง,  และบางทีสองชีวิตจะถูกกว่า,  บนโต๊ะชำแหละที่ ๑๑”

                วรนาถมองเจษฎางค์อย่างเซื่องซึม  “เธอยังเก็บมันไว้อยู่หรือ?”

                เจษฎางค์พยักหน้า  วรนาถบิดมือตัวเองอย่างร้าวใจและพูดเกือบจะกระซิบ  “ทำลายมันเสีย, เจษ  ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บมันไว้อีก  มันควรจะเป็นความลับอยู่เช่นนั้นตลอดกาลมากกว่า  แม้ว่าวิทยายินดีจะให้เปิดเผยก็ตาม”

                เมื่อแยกทางกับวรนาถ  เจษฎางค์ก็มุ่งตรงไปยังหอ  เขาไขกุญแจ  ผลักประตูห้องเข้าไป  ดึงลิ้นชักออก  หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาลูบคลำอยู่ครู่ใหญ่  และคลี่มันออกมาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้ายด้วยพินิจพิเคราะห์คล้ายจะฝังมันไว้กับความทรงจำ  ลายมือนั้นยุ่งและเลือนไปด้วยกาลเวลา

               

                ถึงพระอรรถธรรมาดา

                จดหมายฉบับนี้คงเป็นฉบับสุดท้ายที่ฉันจะได้เขียนถึงเธอ  เพราะว่าไข้กำเริบขึ้นทุกขณะ  แต่ดีใจว่าจะหมดเวรหมดกรรมเสียที  ถ้าไม่ตายเสียก็คงจะรับทุกข์ทรมานต่อไปอีก  ฉันเบื่อเต็มที  แต่อย่างไรก็ดี  ฉันคิดถึงลูก  วิทยาคงหลงว่าพ่อของเขานั้นตายมานานแล้ว  แต่ดีละ  เขารู้อย่างนั้นดีกว่าจะรู้ว่าพ่อของเขาเป็นนักโทษตลอดชีวิต  เพราะฆ่าคนที่ทำลายเกียรติยศของแม่เขา

                ฉันตั้งใจจะอุทิศศพของฉันเองให้โรงพยาบาลศิริราชเพื่อเป็นบริการของนักเรียนแพทย์  วิทยาคงจะข้ามฟากปีหน้าใช่ไหม?  ฉันไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกเลยเกือบตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่  ดังนั้น  ฉันภาวนาว่าขอให้ได้อยู่ใกล้ๆ กับเขาสักหน่อยเถิด  แม้ว่าจะสิ้นชีวิตไปแล้วก็ตาม

                อย่าลืมทำลายเอกสารที่มีรูปและรอยตำหนิของฉันเสีย  ทั้งๆ ที่ฉันอยากจะอยู่ใกล้ๆ ลูกเมื่อตายไปแล้ว  แต่ก็คงไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันเป็นใครอยู่ดี  ไฝสามเม็ดที่ท้ายทอยของฉันไม่เหมือนใคร  อย่าให้วิทยารู้จักพ่อของเขาได้จากตำหนินั้น  หากเขาจะได้ชำแหละศพพ่อของเขาด้วยมือของเขาเอง

                ลาก่อน  ขอให้เธอและวิทยาจงเป็นสุข

                                                                                                                จากพี่

                                                                                                                แจ้ง  ชัยงาม

 

                เจษฎางค์ยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม  วิทยาใช้เวลาถึงสามปีและกับชีวิตของเขาอีกชีวิตหนึ่ง  ซึ่งแพงมากเหลือเกินสำหรับเพื่อเพียงที่จะสำนึกในความภูมิใจในความรักอันจะหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลยของบิดาที่มีต่อเขา – และกว่าที่จะทราบว่ามันมีค่าเหนือสิ่งใด  แม้แต่ความอับอายขายหน้าอันควรจะได้รับในการที่มีพ่อเป็นนักโทษตลอดชีวิตนั้น

                เจษฎางค์จุดไม้ขีด  เปลวไฟลุกขึ้นวูบหนึ่ง  กระดาษนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปสิ้น  และสีของมันดำเหมือนสีของกลางคืน

 

พิมพ์ครั้งแรกใน สยามสมัย ๑: ๕๒ (๑๐ พฤษภาคม ๒๔๙๑)

ประยูร  จรรยาวงศ์  บรรณาธิการ  ผู้พิมพ์และผู้โฆษณา

 

-------------------------------

 

 

(พิมพ์จากต้นฉบับ อ.อุดากร (นามแฝง) (๒๕๓๑). “ตึกกรอสส์”. ตึกกรอสส์ : รวมเรื่องเอก. กรุงเทพฯ: สนพ.อ่านไทย. หน้า ๓-๑๕)

 

 

 

               

 

               

 

คำสำคัญ (Tags): #ตึกกรอสส์
หมายเลขบันทึก: 506219เขียนเมื่อ 19 ตุลาคม 2012 20:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 สิงหาคม 2014 20:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

ขอโทษ ตึกคนไข้หมายเลขหก ครับ

เคยอ่านนานมากแล้วเรื่องนี้ ตึกคนไข้หมายเลขแปด อีกเรื่องที่อยากแนะนำให้อ่านครับ

เคยอ่านเมืองตอนยังหนุ่มอยู่มาก ชอบจังครับ

 

เขาเขียนได้ น่าติดตามคะ

ตึกนี้ นั่งเรียน .... หมายถึง ตึกกรอสส์ .... ที่ศิริราชนะคะ ... สอบ Anatome จะตก และ ตกแล้วหละ อาจารย์ใหญ่ ท่านใจดีมากค่ะ

ขอบคุณมาก ที่ทำให้นึกถึงนะคะ

เคยอ่านเมื่อ20ปีที่แล้ว อ่านทีนี้ น้ำตาก้ยังคลออยุ่ดี แด่ อ.อุดากร นักเขียนและนักศึกษาแพทย์ที่อาภัพ... ขอบคุณบันทึกดีดีที่นำมาให้ย้อนอ่าน...

เป็นเรืองสั้น ที่น่าอ่าน และ เป็นอมตะ

เป็นเรื่องที่เคยอ่านมานานมากแล้วค่ะ ตึกกรอสส์ ขอบคุณที่ทำให้ระลึกถึงอีกครั้งค่ะพี่เอ๋ (ขออนุญาติเรียกพี่นะคะ)

สวัสดีคะ คุณ Jamlong NFE Kalasin

ดีใจคะ ที่มีโอกาส นำเรื่องราวที่หลายคน ชื่นชอบ มาให้อ่านกันอีกครั้ง ในเนื้อหา มันซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้

  1. เคยอ่านสมัยเรียนมัธยม เมื่อนานมากแล้วจำได้แต่ชื่อตึกกรอสท์ แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ขอบคุณที่นำกลับมาให้อ่านอีกครั้งหนึ่งค่ะ

เป็นเรื่องสั้นที่อ่านเมื่อครั้งยังเรียนชั้นมัธยม และจำเค้าโครงเรื่องได้ไม่ลืม จนเกิดแรงบันดาลใจให้ตนเองได้มอบร่างเป็นครูใหญ่ที่ รพ.ศรีนครินทร์ ตั้งแต่ตอนอายุ30ปี ปัจจุบันนี้อายุ48ปีแล้ว เพราะเรื่องสั้น ตึกกรอสส์ นี่เองเป็นผู้จุดประกาย…ขอบคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท