งานพัฒนาคนหรืองานจัดการศึกษาบ้านเรา ตกอยู่ในสภาพยักแย่ยักยันมาโดยตลอด สถิติการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรเราเป็นแชมป์เอเชียและเป็นอันดับ 2 ของโลกแล้ว ผลสอบ PISA ซึ่งเป็นการวัดระดับนานาชาติเราเกือบรั้งท้ายทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน คณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ อีกทั้งผลสอบโอเน็ต(O-NET)หรือที่เราวัดความรู้พื้นฐานกันเองทุกปี คะแนนก็ได้ไม่ถึงครึ่งอยู่เนืองๆ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) เคยสรุปเมื่อต้นปี งบประมาณด้านการศึกษาไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ไม่ต่ำกว่าประเทศอื่นในเอเชีย แต่ผลสัมฤทธิ์ต่ำเป็นลำดับท้ายๆของโลก การแสดงความรับผิดชอบต่อคุณภาพการศึกษามีน้อย คำกล่าวของTDRI น่าจะมาจากที่ผ่านๆมา มักไม่มีผู้เกี่ยวข้องฝ่ายใดได้รับผลกรรมนี้เลย หรือผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต่างลอยนวล(ฮา)
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)จึงไม่อาจอยู่เฉย คิดค้นกลวิธีต่างๆที่จะขยับผลสัมฤทธิ์นี้ให้ได้ ประเดิมด้วยการประกาศให้โรงเรียนนำผลคะแนนโอเน็ตไปถ่วงเกรดเฉลี่ย(GPAX)ของนักเรียนแต่ละคนในอัตรา 80:20 ท่ามกลางกระแสวิพากษ์จากทั้งนักวิชาการและตัวนักเรียนเองว่าเร็วเกินไป ล่าสุด สพฐ. เสนอแนวคิดในการนำผลโอเน็ตไปผูกติดกับการประเมินวิทยฐานะครู ทั้งหมดคงพยายามจะหาผู้รับผิดชอบหรือผู้รับผลกรรมตามที่ TDRI เปรยไว้กระมัง(ฮา)
อันที่จริงจากความไม่สำเร็จในการจัดการศึกษาที่ผ่านมา ไม่เนิ่นนานพอที่จะสรุปได้แล้วล่ะหรือ? ว่าแนวทางแก้ไขที่กระทำกันนั้นไม่ตรงเหตุ หรือเกาไม่ถูกที่คัน โดยเฉพาะการนำผลโอเน็ตไปใช้
เราเริ่มจากนำไปคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย หวังให้สนใจเรียนในชั้นเรียนปกติตัวเองมากขึ้น มิใช่เอาแต่กวดวิชา ซึ่งน่าจะเป็นดัชนีความล้มเหลวการจัดการศึกษาอย่างหนึ่ง แต่ผลกระทบที่เกิด นักเรียนยิ่งกวดวิชาหนักเข้าไปอีก น่าจะมีสาเหตุจากโอเน็ตเป็นการสอบมากถึง 8 กลุ่มสาระวิชา
ต่อมาสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)ใช้ผลโอเน็ตเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่จะประเมินตัดสิน ว่าโรงเรียนจัดการศึกษาได้มาตรฐานคุณภาพแล้วหรือไม่ เจตนาคงเป็นความปรารถนาให้โรงเรียนจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และประเมินผลตามสภาพจริง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ใช้วิจารณญาณ เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเพื่อสร้างโรงเรียนให้มีมาตรฐานคุณภาพเดียวกัน
เกณฑ์ สมศ.นี้สร้างความความรู้สึกไม่เป็นธรรมให้โรงเรียนเล็กที่มักขาดความพร้อม เพราะวันดีคืนดีก็ถูกบังคับให้เนรมิตลูกศิษย์ให้เก่งกล้าสามารถเท่ากับโรงเรียนใหญ่ ซึ่งพร้อมสรรพกว่าทุกด้าน แม้จะพยายามอธิบายว่า โอเน็ตเป็นการวัดความรู้พื้นฐานที่ควรรู้ แต่ความแตกต่างระหว่างบุคคล หรือ เด็กทุกคนมีความแตกต่างเป็นธรรมชาตินั้นเล่า โดยเฉพาะลูกศิษย์ตัวเองซึ่งมักขาดความพร้อม จึงถูกต้องแล้วหรือ? ที่จะนำคะแนนมาเปรียบเทียบด้วยเกณฑ์เดียวกัน
ขณะผลที่เกิดขึ้นจริง ณ ปัจจุบัน ยิ่งน่าห่วงกังวล แทนที่โรงเรียนจะเน้นจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนมากขึ้น หาวิธีสอนดีๆ เตรียมสื่ออุปกรณ์ หรือแหล่งเรียนรู้ต่างๆ มาจัดสรรให้ลูกศิษย์ เพื่อหวังถึงผลการสอบโอเน็ตช่วงปลายปี เพราะอาจชี้เป็นชี้ตายโรงเรียนได้เลย การณ์กลับมิใช่อย่างนั้น สิ่งที่หลายโรงเรียนเลือกทำมักเป็นทางลัด ด้วยการระดมทุนอาจเป็นท้องถิ่น ผู้ปกครอง หรือแม้แต่เจียดงบประมาณที่มีอยู่ จ้างติวเตอร์ตามสถาบันกวดวิชาต่างๆให้เข้ามาสอนในโรงเรียนเองเลย อาจใช้ชั่วโมงเรียนปกติด้วยซ้ำไป
ทั้งนี้เพราะเล็งแล้วว่าคุ้ม ถ้าเด็กๆทำคะแนนสอบได้ดี ก็มีโอกาสเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมากขึ้น ชื่อเสียงโรงเรียนจะขจรขจาย ได้รับการยอมรับจากบรรดาผู้ปกครอง ยิ่งถ้าผลคะแนนของเด็กๆโดยเฉลี่ยดีด้วยแล้ว โรงเรียนจะผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพไปในคราวเดียวกันเลย
วันนี้เจตนานำผลโอเน็ตมากระตุ้นการจัดการเรียนรู้ให้เป็นไปตามหลักสูตร หรือพัฒนามาตรฐานคุณภาพโรงเรียนจึงดูท่าจะเป็นหมัน เนื่องจากการกวดวิชาที่ระบาดเข้าไปถึงชั้นเรียนปกตินั้น เป็นรูปแบบการสอนที่เน้นครูเป็นสำคัญ เน้นให้รู้เนื้อหาสาระ หรือเน้นให้ทำข้อสอบได้เท่านั้น สำคัญว่าบ้านเมืองต้องการคนในชาติที่สามารถทำข้อสอบได้แค่นั้นหรือไม่ ถ้าแค่นั้นการนำผลโอเน็ตมาใช้ตามที่กล่าว ก็สมเหตุสมผลแล้ว
กลวิธีล่าสุด สพฐ.จะนำผลโอเน็ตไปผูกติดกับการประเมินวิทยฐานะครู เพื่อให้มีเจ้าภาพ ผลสัมฤทธิ์ไม่ตรงเป้า เจ้าภาพควรต้องรับผิดชอบ ผิวเผินแล้วดูดี คะแนนโอเน็ตก็น่าจะสูงขึ้นได้บ้าง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบที่น่าจะเกิดตามประสบการณ์ก่อนหน้า นับว่าอันตรายอีกแล้ว
หนึ่งครูโรงเรียนเล็กที่ทำงานหนักกับความไม่พร้อมจะลำบากยิ่งขึ้น นอกจากยากจะพัฒนาโรงเรียนให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพแล้ว ยังยากที่จะพัฒนาตนเองให้มีวิทยฐานะสูงขึ้นด้วย สองงานครูที่โรงเรียนยังมีงานอื่นอีกพะเรอเกวียน มิได้สอนเด็กๆอย่างเดียว แถมในทางปฏิบัติแล้วงานสอนมักจะสำคัญน้อยกว่างานอื่นๆ ทั้งสองอย่างนี้ อาจทำให้ครูยิ่งจะหมดกำลังใจจัดการเรียนรู้ให้ศิษย์
สำหรับครูที่ไม่หมดกำลังใจ ยังมุ่งมั่น ก็จะเน้นสอนลูกศิษย์แบบให้ทำข้อสอบได้(อีกแล้วครับท่าน) เพื่อผลคะแนนโอเน็ตเท่านั้น แล้วอย่างนี้เราจะได้พัฒนาอะไร มิหนำซ้ำไม่เป็นการซ้ำเติมปัญหาการจัดการศึกษาที่หนักหน่วงอยู่แล้วให้รุนแรงยิ่งขึ้นดอกหรือ?
สิ่งที่ควรทำ? ถ้าตอบแบบอุดมคติ ซึ่งคล้ายหาเรื่อง ก็ทำโรงเรียนให้เหมือนกันก่อน แล้วค่อยวัดด้วยผลโอเน็ต จึงจะแม่นยำ เป็นที่ยอมรับ รูปธรรมที่สุดก็คือ สนับสนุนงบประมาณ ห้องหับ อาคาร สื่อ วัสดุอุปกรณ์ เทคโนโลยี ครูที่ขาดแคลน รวมถึงคละเด็กที่มีความพร้อมและไม่พร้อมให้ทุกโรงมีเท่าๆกัน จากนั้นลงโทษอย่างเฉียบขาดต่อผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือครูที่ไม่สามารถพัฒนาศิษย์ให้ได้ตามเกณฑ์หรือเงื่อนไขเวลาที่ร่วมกันกำหนด
แต่ถ้าตอบแบบเอาจริง สิ่งที่ควรทำ ทำได้จริง รวมทั้งน่าจะแก้ไขปัญหาต่างๆได้จริง
ประการแรก การสอบโอเน็ตหรือวัดความรู้พื้นฐานต้องไม่วัดจากข้อสอบเพียงอย่างเดียว แต่ควรทำด้วยหลากหลายวิธีการ อาทิ สังเกต สัมภาษณ์ ศึกษารายกรณี ผลงาน ชิ้นงาน หรือประเมินตามสภาพจริง ฯลฯ นอกจากนั้นทักษะกระบวนการ คุณธรรมจริยธรรม เจตคติ และการนำไปใช้ ก็ต้องวัดประเมินไปพร้อมๆกันด้วย ทั้งนี้เพื่อสร้างให้เด็กๆของเรามีพัฒนาการครอบคลุมทุกด้านตามที่หลักสูตรกำหนด
ประการที่สอง ผลคะแนนโอเน็ตต้องเทียบกับตัวเองหรือดูพัฒนาการ มิใช่ไปเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ หรือเกณฑ์มาตรฐานอื่น หมายถึงปีการศึกษานี้ตัวเองได้เท่าไร ปีหน้าควรดีขึ้น ปีโน้นควรสูงยิ่งขึ้น อะไรทำนองนั้น
โดยสรุปการนำผลโอเน็ตไปใช้ ไม่ว่าคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ตัดสินคุณภาพโรงเรียน หรืออยู่ในระหว่างดำเนินการ ได้แก่ เลื่อนวิทยฐานะครู เพื่อให้โรงเรียนหรือครูจัดการเรียนรู้ที่ดีให้กับนักเรียนตามหลักสูตร แต่ด้วยข้อจำกัดของโอเน็ตเอง ซึ่งเน้นวัดเพียงความรู้ด้วยข้อสอบ ละเลยการวัดประเมินทักษะกระบวนการ คุณธรรมจริยธรรม เจตคติ รวมถึงการนำไปใช้ เป็นผลให้การจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนมุ่งไปที่ครูเป็นสำคัญ ละเลยประเมินตามสภาพจริงอย่างหลากหลายรูปแบบ หลายโรงถึงกับจ้างติวเตอร์เข้ามาสอนในชั่วโมงเรียนเสียเลย โอกาสจะฝึกให้เด็กๆคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ใช้วิจารณญาณ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ดีๆหรือนักเรียนเป็นสำคัญจึงแทบไม่มี
ดังนั้นที่หวังจะให้ลูกหลานเราเป็นคนดี มีศีลธรรม คิดได้ ทำเป็น เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองให้แข่งขันได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมักมีการจัดการศึกษาที่เข้มแข็ง นับวันจึงยิ่งดูเลือนราง ทั้งที่รู้สึกว่าเราก็พยายามคิดและลงมือทำ รวมทั้งทุ่มเทงบประมาณไปในแต่ละปีมากมายเหลือเกินแล้ว
การศึกษาจึงเกาไม่ถูกที่คันสักที อนิจจา
จุดมุ่งหมายของครู นักเรียน ผู้ปกครองคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คณะที่คิดว่าดีให้มากที่สุด การแข่งขันคือเหตุที่กระตุ้นให้เกิดสิ่งต่างๆ ตามมา นอกจากการแข่งขันกับคนอื่นแล้ว สิ่งที่ทุกคนจะทำได้คือการแข่งขันกับตัวเอง กับจุดหมายที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น
สงสัยปริมจะคิดเลื่อนลอยเกินไป ;))
อ่านตามถ้อยความของอาจารย์ผนวกกับประสบการณ์ตรง...รู้สึกอาหารย่อยยากมากค่ะ....เหนื่อยค่ะ แต่ไม่ท้อ อยากให้เด็กมีคนดีและคนเก่งค่ะ สู้กับตัวเองให้ชนะก็ขาดลอยแล้วค่ะคนเราเนี่ย
การศึกษาไทยน่าเป็นห่วงมากครับ เราจะพบได้ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาน้อยกว่าเรื่องอื่น ๆ ดังการย้ายผู้บริหารระดับสูงสุด ก็นำบุคคลอื่นที่มิใช่คนในวงการศึกษามาเป็นปลัดกระทรวง ท่านที่ย้ายมาไม่เคยแม้แต่จะเดินเข้ามาในกระทรวงเราเลย ไฉนจะมาแก้ไขปัญหาและบริหารกระทรวงศึกษาให้พัฒนาดีขึ้น เข้าสู่มาตรฐานสากลได้ครับ เขียนมาด้วยความจริงใจครับ ไม่มีเจตนคติใส่ร้ายผู้ใดครับ แต่เพื่อประโยชน์แก่นักเรียนของประเทศไทยทุกคนครับ
อยู่แบบนี้ดูเขาจะมีความสุขมากกว่านะคะ
คนที่มีความพร้อม ใฝ่คว้าหาแต่ความรู้ ทั้งเรียนในเวลาเรียน และเรียนนอกห้องเรียน ติวกับสถาบันเก่งๆ มีคะแนนโอเนตสูงๆ เข้าเรียนในสถาบันที่เป็นที่ยอมรับของสังคม จบออกมามีงานดีดีทำ แต่ ไม่มีคุณธรรมจริยธรรม รู้กลวิธีการโกงชาติบ้านเมือง เอาเปรียบคนจน ในขณะที่คนด้อยโอกาส ขอให้เรียนจบตามเกณฑ์บังคับ หรือออกนอกเส้นทางก่อนเกณฑ์ ไม่มีโอกาสเลือกงาน ทำงานเพียงขอให้อยู่รอด เป็นคนจน คนรากหญ้า แต่เขาอาจมีคุณธรรมจริยธรรม มากกว่า ... อย่างนี้แล้วหวังจะเอาคะแนนโอเนต สูงๆ ไปเพื่ออะไร????????? ขอโอกาสให้ทุกคนอยู่ในสังคมที่เท่าเทียมกันก่อนดีไหม ? เหมือนที่ อาจารย์ ว่า...ทำโรงเรียนให้เหมือนกันก่อน แล้วค่อยวัดด้วยผลโอเน็ต จึงจะแม่นยำ เป็นที่ยอมรับ รูปธรรมที่สุดก็คือ สนับสนุนงบประมาณ ห้องหับ อาคาร สื่อ วัสดุอุปกรณ์ เทคโนโลยี ครูที่ขาดแคลน รวมถึงคละเด็กที่มีความพร้อมและไม่พร้อมให้ทุกโรงมีเท่าๆกัน
เป็นความจริงที่น่าจะมีคนเห็นด้วยค่อนประเทศ แต่เป็นคนที่ไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงระบบแต่อย่างใด ทำอย่างไรความจริงนี้จะเข้าไปถึงสมศ.คะนี่ เท่าที่ผ่านมาฟังจากลูกๆเล่า ติวเตอร์ที่มาสอนในโรงเรียนทำให้วัฒนธรรมของการมีคุณครูในโรงเรียนเปลี่ยนไปด้วยนะคะ เพราะติวเตอร์ทั้งหลายนี่อยู่ในช่วงอายุไม่มากเลย เด็กๆเรียก"พี่"เสียด้วยซ้ำ เรียนเพื่อสอบกันจริงๆ น่าอนาถแทนทั้งเด็กและคุณครู
อ่านหลาย ๆ รอบ ตกใจ เห็นใจ และกังวลใจ
ในฐานะที่มีลูก ที่กำลังคิดว่า เรียนต่อไป ณ ต่างประเทศ (นิวซีแลนด์) ซึ่งลูกบอกเล่าว่า เรียนสนุก ลุกนั่งตั้งคำถามคุยกับครู ทำรายงานโดยออกไปค้นที่ห้องสมุด ซึ่งมีทั้งในโรงเรียนและส่วนกลางคือท้องถิ่น เป็นห้องสมุดของเมือง ห้องสมุดของหน่วยงานประวัติศาสตร์เมืองฯ หรือกลับมาเรียนต่อเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองไทย
ตกใจ เพราะไม่อยากให้ลูกต้องเรียนหรือติววิชาจน เข้าเส้นเลือด ตามที่เห็น ๆ ไม่อยากให้ลูกเก่งแค่ การทำข้อสอบได้
เห็นใจ คุณครู และโรงเรียนทุกแห่งที่มีความตั้งใจ มีคุณครูต้นแบบ แต่ขาดหรือไม่ครบเรื่องกำลังและทรัพยากร
กังวลใจ เพราะดูเหมือน ระบบการศึกษาของไทย วนกลับไปมา กี่รอบต่อกี่รอบ
มีหนทาง ทางสว่างหรือไม่
ตัวเองไม่รู้ทั้งหมดค่ะ ยังไม่ได้ศึกษาจนละเอียด
..รอคุณครูธนิตย์ตอบ และท่านอื่น ๆ ชี้ทางสว่างด้วย
ขอขอบคุณค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้คุณครูทุกๆท่าน ผู้อุทิศตนให้กับเด็กๆและเยาวชนของชาติค่ะ สู้ๆนะค่ะ
-สวัสดีครับอาจารย์..
-แวะมาเยี่ยม..ครับ..
-ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณครูทุกๆ ท่านครับ..
-วันก่อนมีโอกาสไปสอนเด็ก ๆยุวเกษตรกรที่ อ.ลานกระบือ โรงเรียนบ้านหนองมะเกาะ
-โรงเรียนนี้มี ผอ.ที่เก่งด้านการเกษตรมากครับ มีกิจกรรมหลายอย่าง น่าสนใจ หากมีโอกาสผ่านมาทางนี้อยากจะให้อาจารย์แวะชมกิจกรรมดี ๆ ที่ลานกระบือครับ...
-ขอบคุณครับ..
รวมให้กำลังใจที่จะไม่ทำให้เกิด "ห้องเรียนทำลายฝัน" ต่อไป .....:):)
สวัสดีครับอาจารย์ธนิตย์ ดีใจกับความตั้งใจและทุ่มเทนะครับ การแข่งขันนั่นคือสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดกระมัง น่าสนใจที่มีบางท่านบอกไว้ การสอนลูกหรือศิษย์ให้แข่งขันกับตัวเอง ตรงนี้น่าจะช่วยได้เยอะเลย สำหรับระบบการศึกษาของเราน่าจะเดินต่อไปแบบนี้แหละ ขอบคุณนะครับกับบันทึกดีดี มีความสุขกับวันอังคารครับ
ให้กำลังใจแก่ทุกคนค่ะ...ได้อย่าง..อาจเสียหลายอย่าง..ขอเพียงให้มีการทบทวนแก้ไข เพื่อความเหมาะสมอยู่เสมอบนการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย..
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับอาจารย์ธนิต ทำให้ทุกโรงมีความพร้อมให้เท่ากันก่อน
อ่านไปก็ถอนใจไปค่ะคุณครูธนิตย์ เป็นปัญหาการศึกษาไทย ถือเป็นปัญหาที่น่าจะอยู่ในกลุ่ม"ปัญหาโลกแตก"ไปเสียแล้ว ด้วยประสบการณ์ของตนเองกับความพยายามกับการทำแบบต้านกระแส ยอมรับว่าเหนื่อยค่ะ แต่เมื่อได้เห็นดวงตาแป๋วๆของลูกศิษย์ ก็ทำให้แป๋มมีกำลังใจขึ้นมาอีกโข ขอบคุณค่ะที่ให้โอกาสได้ระบายออกมาบ้าง..
-สวัสดีครับอาจารย์...
-ยังทำงานอยู่ที่พรานกระต่ายครับ..
-วันก่อนทางอำเภอลานกระบือเขาชวนไปช่วยงาน..น่ะครับ....
-งานกล้วยไข่เริ่มแล้วอาจารย์กลับมาเที่ยวหรือเปล่าครับ....
-เมื่อวานพากลุ่มแม่บ้านไปร่วมงานกล้วยไข่..ปีนี้มี "ทองม้วนกล้วยไข่"ครับ..
สวัสดีค่ะคุณครูธนิตย์
-สวัสดีครับอาจารย์..
-แวะมาเยี่ยมอีกทีตอนบ่าย ๆ ครับ.
-วันนี้เริ่มงานศาลเจ้าพ่อปึงเถ่ากงพรานกระต่ายครับ..
-มีแห่งมังกรในตลาด..
-เก็บภาพมาฝากอาจารย์ครับ..
หมอเปิ้น ขอบคุณ ท่าน อจ.ธนิตย์ มากนะคะ
ไม่ได้เข้ามาอ่านนานเลยค่ะ พอมาอ่านที่พี่เขียน ก็สะท้อนถึงตัวเองว่า เมื่อไรนึกอยากเริ่มทำผลงาน ไอ้คำว่า O-NET มันคอยมาหลอกหลอนทุกที เลยยังไม่ได้เริ่มทำเลยค่ะ
เข้าเทศกาล การติวโอเน๊ตอีกครั้งนะคะ เพราะไม่ทำไม่ได้ จัดลำดับชัดเจนด้วยแท่งกราฟระดับกลุ่มสาระ ระดับสพม.ระดับประเทศ ครูต้องรักษาหน้าตาต้องติวเตอร์เท่านั้นหน้าถึงจะเด้งเช้งวับๆๆ...
ที่โรงเรียนครูดาหลาก็ได้ครูอัตราจ้างจากเขตมา 2 คน เพื่อติวONET วิชาคณิตศาสตร์ กับวิทยาศาสร์ค่ะ และเครือข่ายก็ให้นักเรียนเข้าค่ายวิชาการเพื่อติว ONET อีกค่ะ ติวที่โรงเรียนแล้วยังไม่พอ ต้องติวระดับเครือข่ายอีก ครูดาหลาก็มีชั่วโมงติวในวิชาที่สอนด้วย พูดไปสองไพเบี้ยค่ะ ใครจะเป็นหนูที่เก่งเอาลูกกระพรวนไปผูกคอแมวล่ะคะ
ขอบคุณบันทึกดีๆที่นำมาแบ่งปันกัน และส่งความสุขปีใหม่ ๒๕๕๖ ค่ะ
ภาพจากสายบริหารงานสื่อสารองค์กร SCB
ช่วงนี้การติวโอเน๊ตกำลังเข้มข้น เพราะไม่ทำไม่ได้ จัดลำดับชัดเจนด้วยแท่งกราฟระดับกลุ่มสาระ ระดับสพม.ระดับประเทศ แม้บางรายวิชายังสอนไม่ครบสาระก็ต้องเข้าขบวนติวไปด้วย..ทั้งๆที่เด็กๆก็ยังเรียนไม่ถึง
- ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ชีวิตความเป็นครูดูท่าก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดพอ ๆ กับลูกศิษย์ของเราเช่นกันค่ะอาจารย์ ที่โรงเรียนติวเข้มแบบมาราธอนโดยการเพิ่มคาบเช้าเย็น จากที่เคยเรียนคาบละชั่วโมง หกคาบต่อวัน เป็นแปดคาบต่อวันสำหรับลูกศิษย์ชั้น ม.๓ บวกกับวันเสาร์อีกหนึ่งวันเต็ม ฮ่า ๆ ชีวิตมันเจี๊ยบมากเลยค่ะอาจารย์
- ไม่รู้ว่าคนที่ผลิตนโยบายพัฒนาการศึกษาจะเข้าใจคำนี้ไหม ? "ความแตกต่าง"
- บางครั้งสถิติเบื๊อก ๆ (โอเน็ต เอ็นที) ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นที่สุดแล้วนะคะ อาจารย์ว่าไหม ?
- สุดท้ายเป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่า ด้วยห่วงอนาคตของชาติเหมือนกับอาจารย์ค่ะ หากย้อนไปที่สมัยอาจารย์และหนูเคยเป็นนักเรียนกัน ป.๑ ป.๒ ป.๓ เราเรียนกันอย่างมีความสุข อ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น ลายมือสวย (หรือไม่สวยก็ยังรู้ว่าเป็นลายมือมนุษย์เขียน) แต่ยุคนี้ ป.๑ ป.๒ ป.๓ เรียนกันสนุกสนาน ครบ แปดกลุ่มสาระ แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือ เราเอาเด็กวัย ป.๑ - ป.๓ มาขังใจเขาไว้เกินสาระหรือเปล่า ? ทั้ง ๆ ที่วัยของเขาควรจะฝึกให้อ่านออก อ่านคล่อง เขียนเป็น คิดเลขได้ และได้ออกกำลังกายด้วยการเรียน การเล่น อย่างเช่น ดินน้ำมัน พละ ซึ่งเป็นพัฒนากการไปตามวัยของเด็กช่ วงอายุนี้ แต่ทุกวันนี้เรากำลังเพิ่ม บ่มเพาะนิสัยปิศาจ ตั้งแต่ตัวน้อย ๆ โดยสังเกตได้จาก เด็กสมาธิสั้น อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ และไม่ทนต่อสภาวะใด ๆ เลย