ผมเขียนเพราะอยากได้เงิน...


ผมจำได้ว่า...ผมเป็นคนสำคัญกับคุณครูในภาควิชาภาษาไทยเสมอในตอนเรียนชั้นมัธยม

เพราะครูจะเรียกใช้ผมไปแต่งกลอน หรือหิ้วผมไปแต่งกลอนสดประชันแข่งขันในนามตัวแทนโรงเรียน

ประมาณข่าวดังในช่วงนี้พร้อมกับวลีเด็ด “ ถ้าไม่มีใครให้ผมไป... เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่!...”

ผมได้รางวัลบ้าง...ไม่ได้รางวัลบ้าง...แต่ครูก็ชมว่า ผมเก่งและมีพรสวรรค์

และให้เกรดสี่วิชาภาษาไทย ตั้งแต่มอหนึ่งถึงมอหก

ทั้งที่ผมไม่รู้จักคำเป็น-คำตาย..แต่ครูคงให้เพราะผมไปช่วยครูและโรงเรียน

 

จริง ๆ แล้ว ผมอยากสารภาพกับครูว่า “ผมไม่ชอบภาษาไทย”

เพียงแต่ผมชอบอ่านหนังสือทุกประเภท ตั้งแต่หนังสือการ์ตูนเล่มละบาท...หนังสือประโลมโลก...จนถึงพระไตรปิฏก

ตอนนั้นที่บ้านก็ไม่มีหนังสือให้อ่านมากมาย และหนังสือเรียนของผมก็ได้รับพระราชทาน (ตอนนั้นเรียกอย่างนั้น-ตอนโตรู้ว่าไม่สมควร) จากพี่ ๆ

ผมจึงฝังตัวในห้องสมุดโรงเรียน และห้องสมุดประชาชน

อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้ายกเว้นหนังสือเรียน

แต่เล่มที่อยู่ในใจเสมอ..และทำให้ผมอยากทำงานด้านพัฒนาชุมชน

ก็คือเรื่อง...ปุลากง...ตอนนั้น ผมอยากเท่ห์เหมือนพระเอก "เข้ม" จัง

ยังนึกอยู่ว่า ทำไมไม่มีคนเอามาสร้างหนัง หรือที.วี. อีกสักครั้ง ในยุค 2000

ผมว่านะจะสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชนไม่น้อยครับ

 

น้องสาวคนรองจากผม...เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนหนังสือ

เพื่อได้เงินค่าขนม และของเล่นตามประสาเด็ก

เพราะเตี่ยและแม่ มีลูก 13 คน เตี่ยตะลอนถ่ายรูปแบบกล้องโบราณสมัยก่อน แม่ขายหมาก-พลู-สีเสียด

ผมจึงอยากหาเงินให้น้อง ๆ

 

ผมเขียนไปเรื่อย ๆ ช่วงแรก ๆ งานของผมน่าจะกองอยู่ถังขยะของบอ.กอ.

เล่มแรกที่ได้ลงเป็นบทกลอนในนิตยสารสตรีสาร

(เป็นนิตยสารที่ดีมาก และสร้างนักเขียนให้โลดแล่นในวงการวรรณกรรมหลายท่าน เสียดายที่หนังสือเลิกผลิตตามเงื่อนไขของเวลา)

แต่กว่าจะได้ลง ต้องปรับแก้ประมาณ 2 รอบครับ ใช้เวลาเกือบ 4 เดือน เพราะสมัยนั้นติดต่อกันทางจดหมาย

ปรับแก้-ส่งกลับคืนบอกอ...ตอนนั้น ผมไม่รู้หรอกว่า บอ.กอ.เขาอยากให้เราเรียนรู้ด้วย

กลอนผมได้ลง เมื่อเดือน มิถุนายน 2531 ทางนิตยสารส่งหนังสือให้ 1 เล่ม พร้อมธนาณัติอีก 200 บาท

หน้าปกเป็นนางแบบวัยใสมาก ซึ่งต่อมาเป็นนักร้องโด่งดัง...คุณนิกกี้ เทริโอ (ผมก็เพิ่งรู้ว่า ผมเกิดพร้อมกับคุณนิโคล)

ผมได้เงินมากมายจากการเขียนให้ผมและน้อง ๆ มากครับ

 

หลังจากนั้น ผมก็เขียนเพราะอยากได้เงิน...

เขียนกลอน-เรื่องสั้น-สารคดี

ลงในหนังสือ...ขายหัวเราะ-มหาสนุก-แม็ค-ต่วย’ตูน-แพรว ขวัญเรือน สกุลไทย และอื่น ๆ

ในสมัยนั้น...ถ้ากลอนก็ประมาณ 150-500 บาท สารคดี 800-1,500 บาท และเรื่องสั้น 2,000-3,000 บาท...ก็นับว่า มากโขครับ 

ตอนนั้น...ทำไมผมไม่มีนามปากกานะ...คิดไม่ออกจริง ๆ...ทำไมต้องใช้ชื่อเสียงเรียงนามจริง ๆ ด้วย...

เสียดายที่ผมไม่ได้เก็บงานของผมที่ได้ตีพิมพ์ และที่ไม่ได้ตีพิมพ์ทั้งหมดไว้

 

เมื่อเดือนที่แล้ว...น้องสาวจะแต่งงาน...จึงไปทำความสะอาดบ้าน

ไปเจอผลงานบางส่วนของผมที่น้อง ๆ เก็บไว้ให้จนลืมพร้อม ๆ กับกองฝุ่น

เป็นผลงานที่เขียนเอาเงินโดยเฉพาะในช่วงปี 2531-2544

แล้วก็หยุดเขียน...เพราะผมไม่มีแรงบันดาลใจเขียน อาจเป็นเพราะต้องทำงานแล้ว และเรียนต่อไปด้วย...เลยล้างมือในอ่างทองคำในบัดนั้น

 

มานั่งอ่านผลงานตนเองย้อนหลัง...

ผมว่า ยังมีกลิ่นอายความโลภที่อยากได้เงินจากการจากเขียน

ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย...ทำให้ผมมีความรู้สึกแย่

เป็นบทเรียนเตือนใจตนเองได้อย่างดี

สิ่งใดที่เราหวังและทำเพียงต้องการอยากได้เงิน...ความภูมิใจในตนเองจะน้อยลง…

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #งานเขียน#ทิมดาบ
หมายเลขบันทึก: 485020เขียนเมื่อ 12 เมษายน 2012 23:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 07:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

สวัสดีค่ะ...ครูนกมองว่าคนที่อยากเขีียนแล้วเขียนได้ดังที่อยากหายาก คนที่อยากเขียนแล้วได้เขียนบ้างยังดีกว่าคนที่ไม่เคยเขียนอะไรเลยนะค่ะ

             อยากบอกว่า "ปุลากง" ก็เป็นหนังสือในดวงใจตอนที่อยู่ม.๕ อาจารย์ภาษาไทยให้อ่านเป็นหนังสือนอกเวลา...ครูนกอ่านนอกเวลาจริงๆค่ะ อ่านแล้วอ่านอีกด้วยชอบในตัวละคร ถ้อยคำและบรรยากาศ

ฮา......ชอบอันสุดท้ายมากค่ะ สิงหไกรภพ

ชอบมากกกกกกกก ปุลากง เอ !!!! พี่ก็ว่าน่าจะเป็นพี่หลายปีอยู่นา ทำไมความหลังหลายอย่างใกล้เคียง แต่เป็นมุมเด็กผู้หญิงตอน ม.๑ อยากเป็นนักพัฒนาชุมชน....อ่ะ อันนี้สมใจนะคะ แม้ขณะนี้ไม่ได้อยู่มหาดไทยก็ตาม

...อ่านสตรีสาร เหมือนกัน อย่าบอกนะคะว่า...ติด "ขวัญเรือน" ด้วย

แหม....นีน่ะ "นักเขัยน" ตัวจริงนะคะเนี่ย ได้เงินด้วย ธรรมดามาก พื้นฐานอิ่มท้อง มั่นคง ปลอดภัยมาก่อนอยู่แล้ว

จากนั้น แรงบันดาลใจ ใฝ่ดี เพื่อคนอื่น เพื่อสังคม....ตามมาติด ๆ

การอ่านเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งของชีวิตน้องอดิเรกจริง ๆ นะคะเนี่ย

ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ตอนนั้นผมยังเตะฟุตบอลพลาสติกอยู่เลย ;)...

พื้นฐานด้านนี้เป็นที่่ประจักษ์ยอมรับมาแล้วตั้งแต่ต้นชีวิต..และที่พี่ใหญ่สัมผัสได้จากทุกบันทึกของน้่องหมออนามัยทิมดาบ..ขอให้กำลังใจต่อยอดตลอดไปค่ะ

สิ่งที่ผ่าน วันวานที่มีความหมาย เราทิ้งอะไรไว้มากมาย ร่องรอยไม่จางหายบันทึกไว้เป็นความทรงจำ ชื่นชมๆ น่าภูมิใจมากค่ะ สุขสันต์วันปีใหม่ไทยนะค่ะ

อยากเรียกว่า เงิน เป็นส่วนหนึ่งของแรงกระตุ้น (drive) ค่ะ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกที่ สิ่งใดทำแล้วได้เงิน เราจะมีแรงฮึดกว่าไม่ได้เงิน แต่สิ่งที่เป็นแรงส่ง ให้ทำดีขึ้นๆ ทำไปนานๆ คือ ความรักในสิ่งที่ทำ ... เห็นแล้วคิดถึง สตรีสาร เช่นกัน ตอนเด็กๆ จะเฝ้ารอ อ่าน "สตรีสารภาคพิเศษ" ไม่เคยเขียนเรื่อง แต่เคยส่งรูปวาดเด็กๆ ไปลงค่ะ

"แม่ขาย หมาก พลู สีเสียด(สีเสียด ไม่เห็นนานแล้ว ถ้ามีอยู่ช่วยลงภาพให้ด้วย ขิบคุณยิ่ง) ปุลากง คนอ่านหนังสือทุกคนคงได้อ่าน แต่ผมฝันอยากอ่าน คือรัสปูติน แล้วก็ได้อ่าน

 


- เจอคนเก่ง....ตัวจริงแล้ว...นะคะ

- บอกให้หมด ..."เดียว.....เรื่อง...นี้ถึงครู...อังศนา  ...แน่ๆๆ"    ...Keywords....ที่กำลังฮิตม๊ากมาก


อนุญาตนำภาพสีเสียดจากอินเตอร์เน็ทมาฝากทิมดาบไปถึงท่านวอญ่า
ที่บ้านเรียกเปลือกไม้ฝอยกินกับหมาก
ของแซ่บผู้เฒ่า
ที่มา:http://www.khontone.com/index.php?topic=58.0
 

 

 

“รู้ไหม...คุณSizeอะไร?

 

สวัสดีค่ะ

     มาเฉลยตัวจริงกันเมื่อเวลาผ่านไปนานแสนนาน

มีผลงานมากมายน่าภูมิใจนะคะ

เมื่อครั้งกระโน้นครูดาหลาก็คงได้เคยอ่านบทกลอนของคุณหมอทิมดาบมาบ้าง

แต่กลอนบทสุดท้ายนี่เรียกเสียงหัวเราะได้เลยค่ะ

 

สุดยอดไปเลยค่ะคุณหมอ น่าภูมิใจมากเลยนะคะ ปริมเคยเขียนกลอนไปลงนิตยสารเหมือนกันตอน ม ปลาย แต่นั่นเป็นเพราะอาจารย์ภาษาไทยคะยั้นคะยอค่ะ ทั้งๆ ที่ชอบอ่านและอ่านหนังสือเร็วมาก แต่ไม่ได้ใช้เวลาฝึกปรือ เพราะตอนนั้นสิ่งที่มุ่งมั่นมากที่สุดคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วอยากทำงานเกี่ยวกับตัวหนังสือ แต่เพราะเรียนสายวิทย์ได้ดี เลยสอบเรียนต่อสายนี้ จากนั้นก็ไม่ได้อ่านหนังสือไทยอีกจนจบปริญญาเอก เพราะภาษาอังกฤษไม่ดี เลยใช้เวลามาก อ่านนานและอ่านช้า พักหนึ่งท้อกับการอ่านไปเลย

ตอนนี้ก็เลยครึ่งๆ กลางๆ ภาษาอังกฤษก็พอใช้ได้ แต่ไม่แจ่มมากมายเพราะยังไงก็ไม่ใช่เจ้าของภาษา ภาษาไทยก็ไม่ได้พัฒนาจาก ม หก มากมายนัก... ;(

ปริมก็ชอบอ่านปุลากงค่ะตอนอยู่ ม ต้น อ่านไปหลายรอบจากห้องสมุดประชาชนประจำอำเภอ จำได้ว่าหนังสือปกแข็งนั้นเก่าและแก่มากมาย แต่ก็ปลื้มคุณเข้มมาก ช่วงนั้นหากใครมาถามโตขึ้นอยากเป็นอะไร ปริมคงตอบไปโดยเร็วว่าอยากเป็นนักพัฒนากร (เผื่อจะเจอคุณเข้มบ้าง)..

มีความสุขกับการเขียนต่อไปนะคะคุณหมอ ปริมจะมีความสุขในการอ่าานบันทึกดีดีของคุณหมอค่ะ :)

สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ

อ่านเรื่องราวของคุณแล้วน่าติดต่มค่ะ เลยแวะมาเป็นกำลังใจ เป็นคนที่เริ่มการเขียนตั้งแต่เล็กจากการเขียนกลอน ตามแบบฉบับวัยรุ่น... จำได้ว่าส่งไปขวัญเรือน ค่าตอบแทนที่ได้คือการส่งหนังสือที่ตีพิมพ์บทกลอนขอเรามาให้ ปลื้มใจมากมาย

จากนั้นก็ร้างลา ล่าสุด เป็นการเขียน ค้นคว้าวิทยานิพนธ์ และยุ่งวุ่นวายกับงานประจำ จนเลิกร้างการเขีนไปพักใหญ่ กำลังลองเขียน...อีกครั้งอยู่ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท