ชีวิตที่พอเพียง : 1532a. อาลัย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ถึงแก่กรรมเมื่อบ่ายวันนี้ (๙ เมษายน ๒๕๕๕) ด้วยความอาลัยรักคนดีของแผ่นดิน ผมจึงนำคำนิยมหนังสือที่คุณไพบูลย์จัดทำอัตชีวประวัติไว้ เมื่อปีที่แล้ว มาลงไว้เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี ที่คุณไพบูลย์ได้ทำไว้แก่แผ่นดิน
คำนิยม
หนังสือ “เล่าเรื่อง..ชีวิตธรรมดา ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม”
วิจารณ์ พานิช
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวชีวิตที่ดีงามและมีคุณค่าของคนคนหนึ่ง ที่เกิดมาในครอบครัวธรรมดา แต่มีพัฒนาการของชีวิตที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะชีวิตที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม ในหลากหลายบทบาท และชีวิตด้านการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมะที่สอดแทรกอยู่ในชีวิตประจำวัน
มีคนพูดเข้าหูผมบ่อยๆ ว่า อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เป็นพระในคราบของฆราวาส
ในสายตาของผมชีวิตของคุณไพบูลย์เป็นชีวิตที่โลดโผน คือไม่ใช่ชีวิตที่ดำเนินไปอย่างราบเรียบ แต่มีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชนิดที่หักเห หรือเปลี่ยนแนวอยู่หลายครั้ง โดยที่ผมเข้าใจว่า ไม่ได้เกิดจากการแสวงหาของคุณไพบูลย์ แต่เกิดจากเหตุการณ์หรือความจำเป็นพาไป และเมื่อความจำเป็นนั้นตรงกับความชอบหรือจริตของคุณไพบูลย์ ท่านก็ยินดีรับทำ แม้จะได้ผลประโยชน์ส่วนตัวน้อยมากหรือแทบไม่ได้เลย
จากชีวิตในวงการเศรษฐศาตร์ วงการการเงิน หักเหสู่ชีวิตของนักพัฒนาชุมชน พัฒนาสังคม และได้มีโอกาสทำงานใหญ่ งานวางรากฐานหลายด้านในสังคมไทย ทั้งตลาดหลักทรัพย์ งานองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) งานพัฒนาชุมชนและพัฒนาองค์กรชุมชน นำไปสู่การเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลด้านการพัฒนาสังคม
ผมตีความว่า คุณไพบูลย์มีจริตชอบทำงานใหญ่ ไม่ชอบงานทางเทคนิคซึ่งเป็นงานแคบหรือเล็ก เมื่อมีโอกาส ชีวิตของท่านจึงหักเหไปสู่การทำงานวางรากฐานของระบบ ซึ่งเป็นงานบริหารหรืองานจัดการ ซึ่งต้องใช้มุมมองเชิงระบบ และต้องการการจัดการที่เน้นกระบวนการ เน้นการส่งเสริมเอื้ออำนาจ (empowerment) ให้สมาชิกในขบวนการกล้าลงมือริเริ่มสร้างสรรค์ ในสายตาของผม ท่านเป็นนักสร้างขบวนการ (movement) โดยการวางระบบให้เกิดกระบวนการ (process) ของแนวร่วมหรือภาคีเครือข่าย (networking) เพื่อการสร้างสรรค์สังคม ซึ่งสภาพจิตใจเช่นนี้มาจากการสั่งสมบารมีหลากหลายด้าน ที่สำคัญที่สุดคือธรรมาบารมี
คนทำงานใหญ่ อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ แบบ คือแบบที่มีสัญชาตญาณเป็นเจ้าของเรื่องนั้นอย่างรุนแรง และมีความสามารถโน้มน้าวจิตใจคนเข้ามาร่วมกันทำงาน ทำงานใหญ่นั้นอย่างต่อเนื่องภายใต้ภาวะผู้นำของผู้ทำงานใหญ่ท่านนั้น ผมคิดว่าคุณไพบูลย์ไม่ใช่ผู้นำแบบนี้ ซึ่งผมเรียกว่าเป็นผู้นำในรูปแบบธรรมดา (conventional)
ผมคิดว่าคุณไพบูลย์เป็นผู้นำแบบที่สอง หรือผู้นำแนวใหม่ ที่ไม่เข้าไปผูกขาดการเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้นำงานใหญ่ที่เป็นนวัตกรรมสังคมที่ท่านเข้าไปริเริ่ม แต่ท่านจะใช้แนวทางส่งเสริมเอื้ออำนาจ (empower) ให้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาร่วมกันเป็นเจ้าของและร่วมกันทำงานใหญ่นั้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมเชื่อว่าแนวทางนี้อาจจะช้า แต่จะมีความยั่งยืนกว่า เพราะมีการวางรากฐานทางสังคมอย่างกว้างขวาง จนในที่สุดเกิดโครงสร้างที่มีฐานะทางกฎหมาย ดังกรณีสำนักงานพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน เป็นต้น
หนังสือเล่มนี้ อ่านได้สบายๆ อ่านแล้วสบายใจ ตามสไตล์ของคุณไพบูลย์ ที่ไม่โอ้อวดความดี ความเก่ง และผลงานของตนเอง แต่ผมเชื่อว่าเมื่ออ่านแล้วผู้อ่านทุกคนจะเกิดแรงบันดาลใจ เห็นคุณค่าของการเกิดมาเป็นคนไทย ที่เป็นสังคมเปิดกว้าง ให้โอกาสแก่คนดีมีความสามารถในการสร้างฐานะ โดยไม่มีการปิดกั้นด้านชาติสกุล รวมทั้งจะได้คติสอนใจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ความเชื่อมั่นในการทำความดี โดยไม่หวังผลตอบแทน
หลายส่วนในหนังสือเล่มนี้ อ่านแล้วได้สาระเชิงประวัติศาสตร์ เชิงมานุษยวิทยา เชิงภูมิสังคม เชิงการเรียนรู้ตลอดชีวิต และอีกหลายๆ เชิง ที่แฝงอยู่ในชีวิตของคุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม มีตัวละครที่เวลานี้เป็นผู้นำหรือผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมไทยจำนวนมากมาย แม้ผมจะเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนกับคุณไพบูลย์ ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาทั้ง ๒ ปี และได้ร่วมงานกันหลายด้านในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านมา เมื่อได้อ่านต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้ ผมยังได้ความรู้ที่มีส่วนต่อเติมความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ทั้งในเมืองไทย และในต่างประเทศ อีกมากมาย
ที่จริงชีวิตของคุณไพบูลย์เป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดา แม้ตนเองจะถือตนว่าเป็นคนธรรมดา
ในสายตาของผมประเด็นเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่มากที่น่าจะย้ำไว้ในที่นี้เป็นประเด็นสุดท้าย คือความสามารถในการมีชีวิตที่ดีในสภาพร่างกายที่เจ็บป่วย ตามที่เล่าไว้ในตอนท้ายๆ ของตอนที่ ๔ ของหนังสือ คุณไพบูลย์สามารถทำงานในตำแหน่งที่หนักและสำคัญมาก คือรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เกิดผลดีต่อสังคมอย่างมากมาย ทั้งๆ ที่ร่างกายมีโรคร้ายรุมเร้า และไม่ใช่โรคเดียว และหลังจากนั้น ท่านก็ได้ทำงานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ตามที่สุขภาพเอื้ออำนวย โดยที่ท่านสามารถดำรงความมีสุขภาพดีโดยอยู่ร่วมกันโรคได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เป็นตัวอย่างของบุคคลที่ใช้ธรรมะสะกดโรคได้เก่งในระดับที่คนเป็นหมออย่างผมรู้สึกพิศวง และขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านอ่านส่วนนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ อ่านระหว่างบรรทัด เพื่อให้ตัวเราเองได้ใช้เรื่องราวในชีวิตของคุณไพบูลย์ส่วนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้หมั่นฝึกฝนตนเองด้านจิตใจหรือธรรมะให้มีความเข้มแข็ง อันจะยังประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตที่มีสุขภาวะ แม้มีโรคร้ายอยู่ในร่างกาย
ผมขอขอบคุณคุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และคุณอรอุมา เกษตรพืชผล ที่ขอให้ผมเป็นผู้เขียนคำนิยมหนังสือเล่มนี้ ผมถือเป็นเกียรติอย่างสูง และขอขอบคุณแทนสังคมไทย ที่ทั้งสองท่านได้ร่วมกันจัดทำหนังสือที่มีคุณค่ายิ่งเล่มนี้ออกเผยแพร่ สังคมได้ประโยชน์มาก จากการนำเรื่องราวชีวิตของคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ เป็นเครื่องจุดประกายและเป็นประทีปนำทางชีวิตของเยาวชนไทย
วิจารณ์ พานิช
๒๘ เมษายน ๒๕๕๓
ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง คุณไพบูลย์ยังทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตลอดมา แม้จะมีโรคร้ายอยู่ในร่างกาย และมาเข้าโรงพยาบาลได้เพียง ๒ สัปดาห์ ก็ถึงแก่กรรม
ขอดวงวิญญาณของคนดีอย่างคุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม จงไปสถิตย์ ณ สรวงสวรรค์
วิจารณ์ พานิช
๙ เม.ย. ๕๕
สิ้นคนดีไปอีกหนึ่งคน นะครับ
ขอแสดงความไว้อาลัยด้วย
คนดีไทยเรา ดีมาก เพราะได้เสี้ยวจากพุทธศาสนา แต่เสี้ยวจาก โล "ภา" ภิวัฒน์ จากฝรั่งมีอำนาจมาก แถมกลัว จีน อีกด้วย
ทางรอดของเราอาจคือ...เอาส่วนดีของทั้งสามฝ่ายมาประมวล
พร้อมอัดปัญญา ฝ่ายที่ "สี่ " ที่มีความเป็นไทยของเราเข้าไปผสม
ไม่งั้นก็คง ออกมา เละ ๆ แบบวันนี้แหละครับ
ขอแสดงความไว้อาลัยด้วยครับ.. คนดีของสังคมไทย ที่น่ายกย่อง
ผมชอบคำว่า "โลภาภิวัฒน์" ครับ สื่อได้ตรงจริงๆ
ขอแสดงเสียใจและอาลัยท่านอาจารย์ไพบูลย์ด้วยครับ
ร่วมอาลัยขวัญใจชุมชน อาจารย์ไพบูลย์